[เขียนเมื่อ Feb 2019]
เป็นเหมือนเรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่ เพื่อบันทึกความพยายามที่ครั้งหนึ่งเคยทำ และทำมันได้สำเร็จ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆคนที่กำลังอ่านหนังสือสอบอะไรสักอย่างอยู่ วันหนึ่งคุณจะทำได้ ถ้าคุณมีความพยายามที่มากพอ
(ขอคัดลอกข้อความมาจากหนังสือ แอฟริกาไม่เห็นด้วยตา ที่เราเป็นคนเขียนไว้)
==เราเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษอะไรมากมาย ความสนใจภาษาอังกฤษเกิดขึ้นจากประสบการณ์ในการเที่ยว เราพบว่าการท่องเที่ยวไม่ใช่แค่จะทำให้คุณสนุกสนานกับการได้พบเจอสิ่งใหม่ๆ แต่มันจะเปลี่ยนมุมมอง และทัศนคติในการใช้ชีวิตของคุณตลอดไป (ประสบการณ์ที่ได้รับจะขึ้นอยู่กับสไตล์ในการท่องเที่ยวที่แตกต่างกันไปของแต่ละคนนะคะ) แล้วทัศนคตินี่ล่ะ จะทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยน
ซึ่งอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเปลี่ยนไปเลย หลังกลับมาจาก ทริปสิงคโปร์ (ปี 2005) คือ… เรื่องของภาษา เราเริ่มรู้สึกเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษมากขึ้น เมื่อก่อนเราเป็นคนที่กลัวคนต่างชาติมาก เราเริ่มรู้สึกว่าภาษาจะทำให้เราไปได้กว้างไกลขึ้น คือเที่ยวไปได้ไกลขึ้น ง่ายขึ้น หรือมีโอกาสดีๆ เข้ามาง่ายขึ้น เพราะตอนทริปสิงคโปร์ เราแทบไม่ได้พูดคุยกับคนที่นั่นเลย หลายคนอาจจะไม่เชื่อ แต่ด้วยความที่เราอ่านรีวิวท่องเที่ยวไป แล้วก็เตรียมตัวไปดีมาก (ดีเกิน) ดีจนไม่ต้องถามทาง ถามราคา คือ เรารู้ไปหมดแล้วอ่ะ ว่าจะต้องเดินไปทางไหน เลี้ยวตรงไหน เจอป้ายอะไร ต้องจ่ายค่าตั๋วเท่าไร ซึ่งจริงๆ แล้ว อันนี้ผิดมากกก ในการท่องเที่ยวเชิงศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่น ฮ่าๆ แล้วตอนนั้นเราเป็นแบ็คแพ็คเกอร์มือใหม่มาก คือ เราแทบไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนสิงคโปร์เลยยย มีแค่แบบนิดหน่อย พื้นฐานมากกก แล้วตอนนั้นเรากลัวคนต่างชาติด้วย ฟังก็ไม่ค่อยออก เลยยิ่งไม่ค่อยกล้าถาม ไม่กล้าพูดไปกันใหญ่ แต่แล้วมันมีอยู่ช็อตหนึ่ง ตอนกำลังจะเช็กเอาต์ ออกจากโรงแรมแห่งหนึ่งในย่าน Bugis เรายืมอแดปเตอร์แปลงไฟ (adaptor) ของโรงแรมมา เพราะเขาใช้เต้าปลั๊กเสียบคนละแบบกับที่เมืองไทย แล้วเราลืมคืนให้เขา พนักงานที่เคาน์เตอร์พูดกับเราเร็วมาก เราก็ทำหน้าเอ๋อๆ แบบฟังไม่ออก ไม่เข้าใจ แล้วน้องเราก็ชี้ไปที่อแดปเตอร์ แล้วก็บอกว่า สงสัยเขาจะหมายถึงอันนี้ เราก็แบบ… เฮ้ย! ภาษาอังกฤษของเราอาการหนักมากจริงๆ สมควรที่จะต้องได้รับการเยียวยาโดยด่วน สิ่งที่เขาพูดเป็นภาษาอังกฤษเหมือนทะลุผ่านสมองเราไปแบบ… ไม่มีการประมวลผลใดๆ ฮ่าๆ และถ้าปล่อยไว้แบบนี้คงไม่ดีแน่
เราเลยกล้าบอกเลยว่า “การท่องเที่ยว ทริปนั้น เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้เราเปลี่ยนการใช้ชีวิตบางอย่างเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเอง” เช่น หลังจากทริปนั้น 2-3 เดือน ช่วงสมัยเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 3 เราหาช่องทางในการเริ่มสอนพิเศษ โดยเราจะเน้นสอนภาษาอังกฤษเท่านั้น ถึงแม้ว่าเราจะไม่เก่ง เราก็จะอ่านเพื่อไปสอนให้ได้ มุ่งมั่นมากกก ฮ่าๆ โดยเราเริ่มสอนจากเด็กเล็กๆ ก่อน ถึงแม้ว่าเราไม่ได้เก่งภาษามากมาย ทำให้อาจจะต้องใช้เวลาในการพัฒนาภาษานานกว่าคนอื่นๆ แต่แค่ทัศนคติเราเปลี่ยน แค่นั้นเองจริงๆ ความพยายามนั้นมันจะเป็นไปได้จริงๆ ในสักวันหนึ่ง… จากนั้นหลายๆ ปีต่อมา ในที่สุด เราก็ได้มีโอกาสไปเรียนที่อเมริกา ในวัย… ขอไม่บอกว่าวัยไหน ก็ต้อง… วัยรุ่นสินะ ฮ่าๆ ==
(จบข้อความจากในหนังสือ แอฟริกาไม่เห็นด้วยตา)
ช่วงที่สอนพิเศษภาษาอังกฤษตามบ้าน ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยปี 3-ปี4 (2005-2007) เราก็เพิ่มพัฒนาด้าน Reading / Grammar มาเรื่อยๆเพราะเราต้องอ่านและทำข้อสอบก่อนไปสอน เพื่อจะได้สอนน้องๆลูกศิษย์รู้เรื่อง 55 แต่เราว่าเราก็สอนได้โอเคนะ เพราะจากการที่เราไม่ค่อยรู้เรื่อง พออ่านมากขึ้นก็เข้าใจมากขึ้น แล้วเราก็จะรู้ว่าทำไมเด็กๆเขาไม่เข้าใจ เพราะเราผ่านจุดที่เด็กๆไม่เข้าใจมาก่อน
เราใช้วิธีการสอบภาษาอังกฤษเพื่อทำให้ตัวเองขยัน มีทั้งสอบ TOEIC / CU-TEP / TU-GET ก็ไปสอบทั้งๆที่ไม่ได้จะสมัครเรียนอะไรที่ จุฬา หรือ มธ. แต่ต้องการแรงกดดันเพื่อให้ตัวเอง active ในการอ่าน
เน้นการอ่านเอง ไม่ได้เรียนพิเศษ
TOEIC (OCT 2006)
TOEIC นี้สอบเพื่อสมัครงาน ก็ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ TOEIC > 550
Total 625/990
CU-TEP (Nov 2006)
TU-GET (Jan 2007)
ช่วงปี 2009 ที่บริษัทมีสอบแข่งขันเพื่อได้ทุนไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษเพื่อสนับสนุนในการสมัครทุนของบริษัท ไปเรียนที Kaplan คอร์ส TOEFL/GRE ฟรี ที่สาขาสยาม
เราก็เริ่มอ่านภาษาอังกฤษอีกรอบ และกดดันตัวเองให้อ่านด้วยการไปสมัครสอบ TOEIC
TOEIC (AUG 2009)
Total 665/990
TOEIC (NOV 2009)
Total 735/990
หลังผ่านเข้าคอร์สมาได้ (ถ้าเรียนเองทั้งคอร์ส TOEFL/GRE คงมี 50,000 บาท)
เราได้ไปเรียนช่วงปี 2010 เสาร์-อาทิตย์ Kaplan สาขาสยาม เป็นช่วงที่มีประท้วงที่ราชประสงค์บ่อยมากก คลาสเลื่อนกันตลอดเวลา และถึกมาก เพราะเราทำงานตจว. ทำงาน จันทร์-ศุกร์ และมาเรียนในเมือง เสาร์-อาทิตย์
พอจบคอร์สเราก็ลองสอบ TOEFL ครั้งแรกดู
TOEFL (JUL 2010)
Total 70/120
หลังจากสอบ TOEFL ไม่ผ่านก็ fail มากกก เพราะกำหนดคะแนนต้อง TOEFL มากกว่า 80 เพื่อ qualify
เราก็คิดกลยุทธ์ใหม่ เพราะเราพบว่า TOEFL ใครๆก็บอกว่ายากกว่า IELTS และที่เราไปสอบ TOEFL มา ก็ยากมากกก จริงๆ ขาดอีก 10 แต้มเพื่อให้ได้ 80 คะแนน
เราเลยไม่ลังเลที่จะเริ่มใหม่ อ่าน IELTS ทั้งเซตเอง ในเวลา 5 เดือน จาก Aug2010-Dec2010 เพื่อไปสอบอีกที เพราะมหาวิทยาลัยใน US ที่เราอยากจะขอทุนก็รับคะแนน IELTS เช่นกัน โดยต้อง IELTS ต้องมากกว่า 6.5 เพื่อ qualify
TOEIC (OCT 2010)
Total 835/990
ซึ่งระหว่างนั้น ในเดือน Oct 2010 เราก็ลองไปสอบ TOEIC เพื่อเป็นการทดสอบความสามารถไว้ด้วย คะแนนก็โอเคอยู่
IELTS (JAN 2011)
Total 6.5/9.0
ในเดือน Jan 2011 เราก็สอบ IELTS ผ่านจ้าาา 6.5 กรี๊ด
ซึ่งตอนนั้น GRE เราก็ไปสอบแล้ว และ ผ่านเกณฑ์ > 1000
เราใช้ความพยายามแบบเข้มข้นกับภาษาอังกฤษอยู่ 3 ปี (2010-2012) แม้จะมีความฝันที่จะไปเรียนต่อต่างปท.มาตั้งแต่เรียนจบป.ตรี (2007) และเริ่มเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ท่องเที่ยวสิงคโปร์ทริปนั้น (2005)
แต่ด้วยงานประจำที่ทำ flow ไปเรื่อยๆ ทำให้กว่าจะได้เริ่มจริงจังก็เริ่มอายุเยอะล่ะ
ภาพด้านล่างเป็นรูปก่อนไปเรียนที่อเมริกา ในห้องนอนยังแปะกระดาษ เป้าหมายที่จะทำให้ได้อยู่เลย 55 พอผ่านเป้าหมายที่ทำได้ เราก็จะเอาคะแนนที่ได้มาแปะทับ ว่าเราทำได้แล้วนะ !
หนังสือกองพะเนิน เยอะมากกก ทั้ง TOEFL/IELTS/VOCAB/TOEIC/READING & LISTENING คือมาทุกสำนักอ่ะ บอกเลย
ศัพท์นี่ท่องแทบทุกวัน อย่างน้อยก็จะเปิดๆมาดูแวบๆก็ยังดี ทีวี/วิทยุในห้องก็จะ BBC รัวๆ และจะดูซีรีย์ฝรั่งล้วนๆ ช่วงหยุดยาวสงกรานต์ หยุดปีใหม่ บางปีก็จะไม่กลับกทม. นั่งอ่านหนังสือที่ตจว. (ที่พักใกล้ที่ทำงาน) เป็นช่วงชีวิตที่ถึกจริงๆ
เราเตรียมเอกสาร เตรียมทุกอย่าง แพลนเดินทางไปเรียนปลายปี 2011 แต่เกิดปัญหาน้ำท่วมกทม. หลายๆอย่างไม่ลงตัว ทำให้เราได้เริ่มเข้าเรียนที่ North Carolina State University ในช่วงกลางปี 2012
อยากทราบว่าพี่สอบทุนของอะไรคะ แล้วนอกจากภาษามีเตรียมตัวอย่างอื่นอีกไหมคะ หนูสนใจทุนป.โทตปทมากๆ แต่เริ่มต้นไม่ค่อยถูกเลยค่ะ
LikeLike
ทุนของบ.เอกชนล่ะค่า
หลักๆก็คือการสอบภาษาเลยล่ะค่ะ ถ้าสามารถผ่านได้ตามเกณฑ์ นั่นคือโอกาสมากกว่า 50% ที่จะยื่นขอทุนในหลายๆที่ค่ะ
LikeLike