[Brunei, Feb2011]
เอาจริงๆนะ ตั้งแต่ที่เราไปเที่ยวมา ไม่มีเมืองหลวงไหน เงียบเชียบได้เท่าเมืองหลวงของบรูไน (บันดาร์เสรีเบกาวัน) ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ เราว่าทุกประเทศในโลกมีเอกลักษณ์ของแต่ละที่อยู่ การได้มาเยือนบรูไนในครั้งนี้ เราเห็นความสงบในการใช้ชีวิตของคนที่นี่ ความสะอาดของบ้านเมือง เป็นเมืองที่หยุดเวลาจริงๆ แล้วคุณจะรู้สึกว่าเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯนี่วุ่นวายไปเลยล่ะ ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ที่เขียวชะอุ่มมาก แค่ออกจากเมืองไปนิดเดียวก็เป็นป่าแล้ว ได้อารมณ์ป่าบนเกาะบอร์เนียวจริงๆ มีศิลปะและพระราชวังที่สวยงาม อลังการ สมเป็นเมืองท่านสุลต่าน
ใครไม่เคยมาบรูไน เราว่าต้องลองมานะ อย่าเพิ่งเชื่ออะไรที่เราเล่า คุณอาจไม่ได้รู้สึกเหมือนสิ่งที่เราเล่าก็ได้ มาเห็น มาสัมผัสมันด้วยตัวคุณเองดีกว่า
ข้อมูลเบื้องต้น :
บรูไนเป็นประเทศบนเกาะบอร์เนียว (Borneo) ซึ่งถ้าเป็นอินโดนีเซียจะเรียกเกาะนี้ว่า กาลีมันตัน (Kalimantan) เป็นประเทศที่ล้อมรอบด้วยรัฐซาราวักของมาเลเซีย ที่นี่พูดภาษามาเลย์บรูไน มีตัวเขียนเป็นอารบิคด้วย (Jawi) นับถือศาสนาอิสลามเป็นหลัก
วันที่ 1 :
การเดินทางในครั้งนี้ เราได้เดินทางผ่าน กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย (Kuala Lumpur, Malaysia) ก่อนที่จะต่อเครื่องมาถึง สนามบินนานาชาติบรูไน (Lapangan Terbang Antarabangsa Brunei) กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศบรูไน (Bandar Seri Begawan หรือ BSB, Brunei) โดยสายการบินแอร์เอเชีย พอมาถึงสนามบิน
ตอนแรกเราจะลองขึ้นรถเมล์ แต่ไม่แน่ใจว่ามันจะมาจริงไหม เพราะเริ่มเย็นแล้ว เลยตัดสินใจขึ้น taxi จากสนามบินเข้าเมืองมา ค่า taxi ที่นี่ก็แพงพอสมควร…ก็ไม่พอสมควรนะ เยอะเลยล่ะ ถ้าเทียบกับไทย ราคาจากสนามบินเข้าเมือง 25 B$ ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที ประมาณ 600 กว่าบาทได้ ซี้ดด เล็กน้อย 55
(1 BND ~ 25 THB)
ส่วนรถเมล์ที่นี่จะมีแค่ช่วง 6.30น. – 18.00น. และมีรถไม่มากนัก ไม่ถี่ด้วย อาจจะต้องรอกันถึง 30-45 นาที ส่วนหลัง 21.00น. อัตราจะเพิ่มขึ้น เพราะคนท้องถิ่นส่วนใหญ่ใช้รถส่วนตัวกัน จะสังเกตเห็นได้ว่าส่วนใหญ่เป็นรถดีๆด้วย โดยเฉพาะ Lexus เยอะมากกก สมกับเป็นแหล่งน้ำมันจริงๆ ถ้าใครมาถึงช่วงกลางวัน แนะนำให้ขึ้นรถเมล์ไปลงที่ สถานีรถบัส Downtown BSB ค่าโดยสาร 1 B$ ถูกกว่าแท๊กซี่นะ
(Bus Route Map : http://www.bt.com.bn/files/images/photos/2013-04-20/Public-Bus-Map.jpg)
หรือ การเช่ารถขับก็น่าสนใจนะ ที่นี่ขับชิดซ้าย พวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเรา สามารถติดต่อเช่ารถได้ที่สนามบิน
อ้อ…ตอนผ่าน ตม. มีพนักงาน ตม. ถามเรา แบบ..ทำหน้าอึ้งๆว่า จะไปพักที่ KH Soon หรอ รู้จักที่นี่จากไหน? (คือเรากรอกไปในใบตม.ว่าพักที่นี่) เราก็บอกไปว่าจาก Lonely Planet เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเพิ่มเติมนะ คืน Passport มาให้เรา …พอเรามาเจอที่พักจริง เอิ่ม…ตรูรู้ล่ะ ว่าทำไม ตม. ถึงถามแบบนั้น คือ…อารมณ์ที่นี่ มันเหมือนซ่องมากกก หรือ เรารู้สึกไปเองคนเดียวไม่รู้นะ แต่บรรยากาศมันเหมือนซ่องจริงๆ บางอารมณ์ก็เหมือนโรงพยาบาลเก่า มันเหมือนสถานที่แห่งนี้ถูกเก็บรักษาไว้มาตั้งแต่สมัยสงครามโลก บรื้อออ 55 โดยเฉพาะห้องน้ำ (คือแบบ ห้องน้ำในตัว หลอนโคตรรร หนูกลัว 55) …ตอนนอน น้ำตาแอบซึม…¨ทำไม ตรูต้องเสียเงินเสียทองมานอนซ่องด้วย ฮือๆ¨ (เว่อร์ไปล่ะ 55)
(ซึ่งเป็นเหตุให้วันต่อมา เราย้ายไปลองพักอีกที่ ที่บรูไนเราย้ายโรงแรมทุกคืนเลย 55 สามคืนสามโรงแรม)
แต่จริงๆก็ยังสามารถมาพัก KH Soon Resthouse กันได้นะจ๊ะ ไม่ลองไม่รู้ 🙂 มันเหมือนเราได้ย้อนเวลากลับไป…Step Back in Time…
นี่เราว่า เราไม่ได้เว่อไปนะ อ่าน review ของฝรั่งได้ที่นี่ 55
http://ruzhiwashere.com/2013/08/03/k-h-soon-resthouse-brunei-bandar-seri-begawan/
ชอบประโยคนี้ที่เขารีวิวไว้มาก ¨And they even have the cheek to charge an extra BNR 6 for an attached bathroom. You pay more to bring crap closer to you.¨ โห…ใช่เลยคร่าาา 55
ซึ่งก่อนมาที่นี่เราได้พยายามอีเมล์ถึง Youth Hostel อีกที่เพื่อจองห้องพัก แต่ไม่สำเร็จ ไม่มีคนตอบกลับ เราเลยเลือกพักตามที่พักที่แนะนำไว้ใน Lonely Planet ซึ่งเป็น Budget Accommodation ของที่นี่ ชื่อ KH Soon Resthouse : Kiau Lian Building 140 Jalan Pemancha [khsoon_resthouse_brunei@hotmail.com] (http://khsoon-resthouse.tripod.com) ราคา 30-40 B$/ห้อง/คืน อยู่กลางใจเมือง ทำเลดีใกล้แหล่งท่องเที่ยว และท่ารถ แต่บรรยากาศภายในโรงแรมอึมครึมติสนึง
ถึงแม้บรูไน มันเงียบจริง วังเวงจริง แต่รู้สึกยังปลอดภัยอยู่นะ (ไม่เหมือนอินเดียที่แบบ ถนนเงียบๆยังงี้ อาจจะไม่ควรออกมาเดิน)
เราเดินจากที่พักมายังใจกลางเมือง เพื่อหาอาหารเย็นกิน บรรยากาศในเมือง เงียบมากถึงมากที่สุด แต่ละจุดในเมืองเราสามารถเดินถึงกันได้หมด เมืองไม่ใหญ่มาก เราเดินจนเจอ เป้าหมาย Ayamku Restaurant มีแนะนำไว้ใน lonely planet ด้วย แต่ทั้งร้านมีคนนั่ง อยู่เพียง 2 โต๊ะ (อารมณ์ตอนนั้นแบบ…เงียบไปป่าวว่ะ คงเงียบแบบนี้แค่วันนี้ม้างง วันอื่นๆคงมีคนมากินเยอะอยู่ แต่ปรากฎ เราอยู่นี่มา 3 วัน ร้านนี้มันเงียบทุกวันเลยอ่ะ เงียบโคตรรร 55 รู้สึกเป็นส่วนตัวมว๊ากก) อาหารที่นี่ คล้ายคลึงกับที่มาเลเซีย ไก่ทอดร้านนี้สั่งทีต้องครึ่งตัว! ตอนหลังเราก็กลับมากินที่ร้านนี้ 2-3 ครั้งทีเดียว
เราเดินชื่นชมบรรยากาศยามค่ำคืนที่บรูไน อันเงียบสงัด เอ้ย เงียบสงบ เดินมาสักพัก จากร้าน Ayamku ที่เราโซ้ยข้าวเย็น ก็จะเจอกับ Yayasan Sultan Haji Hassanal Bolkiah Shopping Complex เป็นหนึ่งใน Commercial Center ของบรูไน บรรยากาศในห้างเรียบง่าย ทำให้นึกถึงตอน เดินห้างตั้งฮั้วเส็งหรือพาต้าสมัยเด็กๆ หยุดเวลาไปปี ´80 เลยทีเดียว
ซึ่งเราสามารถมองเห็น Sultan Omar Ali Saifuddien Mosque (มัสยิด โอมาร์ อาลี ไซฟูดดิน) ได้ด้วย เป็นมัสยิดเก่าแก่และเป็นที่เคารพสักการะของชาวบรูไน ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ออกแบบและดำเนินการสร้างโดยสุลต่านโอมาร์ อาลี ไซฟัดดินที่ 3 พระราชบิดาของสุลต่านองค์ปัจจุบัน และสร้างเสร็จในปีค.ศ. 1958 พระองค์ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาปนิกสมัยใหม่ของบรูไน
เดินไปจากห้างไม่ไกลนักจะพบกับริมแม่น้ำ ที่เราจะเห็นชาวบ้านใช้เรือสัญจร (Water taxi) ผ่านไปมาบริเวณปากแม่น้ำบรูไน (Sungai Brunei) ใน Kampung Ayer (กัมปุงอาเยอร์) ชุมชนกลางน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Water Village) มีผู้อยู่อาศัยประมาณ 30,000 คน บ้านตั้งอยู่บนเสาค้ำและขยายไปถึง 8 กม. ตลอดแม่น้ำบรูไน และตั้งมากว่า 1,000 ปี ตั้งแต่ศควรรษที่ 10 ชาวยุโรปในยุคแรกที่เข้ามาที่บรูไน เรียกขานหมู่บ้านกลางน้ำนี้ว่า เวนิซแห่งตะวันออก มีบ้านแบบพื้นเมืองปลูกสร้างไว้มากมาย หมู่บ้านกลางน้ำนี้ก็มีสาธารณูปโภคครบครัน ทั้งโรงเรียน สถานีอนามัย สถานีตำรวจ ร้านค้า แม้กระทั่งปั๊มน้ำมัน
วันที่ 2 :
เรามาหาอาหารเช้า ที่ถนนหลักในเมือง (Jalan Sultan Omar Ali Saifuddien) มีร้านอาหารให้เลือกรับประทานพอสมควร มื้อนี้เราสุ่มไปกินที่ร้าน Awadeen Restaurant ราคาประมาณ 4-6 B$/จาน
จากนั้นเราเดินไปที่ Tamu Kianggeh Market ตลาดบนถนน Jalan Sungai Kianggeh มีของขายหลายอย่างที่น่าสนใจสำหรับตลาดนี้
ป้าคนนี้ทำหน้าน่ากลัวมาก ไม่กล้าสบตาเลยทีเดียว
เราเดินกลับไปที่ท่ารถ เพื่อขึ้นรถเมล์ม่วงไปเที่ยว ที่นี่เป็นสถานีรถเล็กๆ มีป้ายสายรถต่างๆให้เราดู ค่าโดยสาร 1B$ (เราว่าท่ารถนี่ล่ะ คึกคักสุดล่ะ)
เราขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางไป มัสยิดทองคำ (Jame Ar’ Hassanil Bolkiah Mosque) เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในบรูไน สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีการครองราชย์ของท่านสุลต่าน ใช้งบประมาณในการสร้างมหาศาล และนำเข้าวัสดุในการก่อสร้างจากต่างประเทศ เช่น อิตาลี, อังกฤษ,เบลเยี่ยม และซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น เริ่มก่อสร้างในปี 1987 และสร้างเสร็จในปี 1994 ใช้เวลาก่อสร้างถึง 7 ปี เป็นสุเหร่าที่มีห้องสวดมนต์ 2 ห้องแยกชายและหญิง บันไดทางขึ้น แต่ละชั้นจะมี 29 ขั้น ชาวท้องถิ่นรู้จักในนาม Kiarong mosque
ตอนไปไม่เท่าไร เพราะเราขึ้นที่ท่ารถยังพอถามคนนู้นนี้ได้ ขากลับนี่…รอนานพอควรเลย นึกว่ารถบัสจะไม่มาซะแล้ววว รถที่นี่น้อยมากก ตอนแรกกะไปเมืองอื่นๆด้วย แต่กลัวไม่รอด เพราะรถบัสที่ไม่แน่นอนและรถน้อยมากจริงๆ จนเราต้องเปลี่ยนแผน อยู่เมืองหลวงมันทั้ง 3 วันไปเลยแล้วกัน เอาให้ปรุโปร่งกันไปเล้ยยย 555 (คือ ชิวมากก ไปไหมม)
ในที่สุดรถบัสก็มา ไปลงที่ท่ารถ แล้วก็เดินจากท่ารถไปที่ พิพิธภัณฑ์ โรยัลเรกาเรีย (Royal Regalia Museum) ซึ่งสร้างในปี 1992 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีการครองราชบัลลังก์ของท่านสุลต่าน เป็นที่ซึ่งรวบรวมประวัติส่วนพระองค์ ข้าวของเครื่องใช้ขององค์สุลต่านปัจจุบัน เช่น เครื่องทรงทองคำในวันขึ้นครองราชย์และเครื่องบรรณาการจากผู้นำประเทศต่างๆทั่วโลก, มงกุฎทองคำ, เครื่องราชย์ ต่างๆ
เสร็จจากการชมพิพิธภัณฑ์ เราเดินมาถนน Jalan Sungai Kianggeh เพื่อมา Pusat Belia Youth Hostel ติดต่อที่พักใหม่ในคืนนี้ เจ้าหน้าที่แจ้งว่ามีเตียงว่างอยู่ เราจึงไม่รอช้าจองที่พัก ก่อนจะย้ายของมาที่นี่ ที่นี่เป็นที่พักแบบ Dorm แยกชาย-หญิง ห้องน้ำรวม สะอาดใช้ได้ น่าจะเป็นที่พักที่ราคาถูกที่สุดในเมืองแล้ว ที่ราคา 10B$/เตียง/คืน มีสระว่ายน้ำ ค่าใช้บริการ 1B$ (http://www.bruneiyouth.org.bn)
แล้วเราก็ทัวร์รอบๆ ไปถนน Jalan Sungai Kianggeh และ Jalan Sultan Omar Ali Saifuddien ซึ่งเป็นถนนหลักในเมือง เรายังสามารถเห็น Royal Ceremonial Hall, วัดจีนกลางเมือง และ Taman Haji Sir Muda Omar Ali Saifuddien ซึ่งประมาณสนามหลวงเมืองไทย ไว้จัดงานพิธีที่สำคัญต่างๆ
นี่เราไม่ได้พยายามรอจังหวะ เพื่อถ่ายรูปให้ได้ถนนโล่งๆเลยนะ มันโล่งอย่างนี้จริงๆ
เรามาพักเติมพลังที่ร้านอาหารในเมือง มีให้เลือกทั้งโดซา (Dosa) อาหารอินเดียทางภาคใต้ ที่คล้ายๆกับเครปกินกับแกง (Fermented Crepe) และก๋วยเตี๋ยวน้ำสไตล์อินโดนีเซีย (Soto) ที่เวลากินต้องใส่ซอสพริก
มีอีกสถานที่หนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับนักท่องเที่ยว คือ Coffee Bean & Tea Leaf ร้านกาแฟกลางใจเมือง ที่นักท่องเที่ยวแวะเข้ามาไม่ขาด….เพราะว่า Wifi นั่นเอง เปรียบเสมือน Oasis และ เป็นแหล่งกกตัวของนักท่องเที่ยวในเมืองเลยล่ะ ทำให้เราได้ติดต่อกับโลกภายนอกบ้าง (ปัจจุบันมันอาจจะดีขึ้นแล้ว เมื่อก่อน ปี2011 ไม่ค่อยมีเนต คือ จุดนี้เป็นจุดเดียวที่จะได้เล่นเนต 55) จริงๆการไม่มีเนต ทำให้เราอยู่กับตัวเองและมีเวลาในการพินิจสถานที่นั้นๆได้มากขึ้นนะ ได้นั่งซึมซับความสงบของเมืองนี้ อ่านหนังสือ ว่ายน้ำ …คือมาที่บรูไน สามารถอ่านหนังสือจบได้สักหนึ่งเล่ม)
อ่านต่อ ตอนที่ 2 : https://journeyaddict.com/2015/12/27/brunei2/