อินเดียเพลียๆ – วิหารทองที่อัมริตสา ตอนที่ 5 (India Part5)

Capture5

[India, May2011]

IN02

IN01

ตื่นมาประมาณ 7 โมง นอนเมื่อยไปทั้งตัว พอมองออกไปนอกรถ พบว่าบรรยากาศภายนอกรถไฟเป็นชนบทไปแล้ว หยิบใบตารางรถไฟขึ้นมาดู พร้อมมองสถานีที่เพิ่งถึง โอ้โห….รถไฟน่าจะถึงสายไป 2 ชม.เลยนะเนี่ย เพราะอีกหลายสถานีกว่าจะถึงอัมริตสา น่าจะถึงอัมริตสาประมาณ 10 โมง เมืองอัมริตสาเป็นเหมือนเมืองหลวงของชาวซิกข์ ถ้าเทียบก็คล้ายๆกับเมืองเมกกะ ที่เป็นเมืองหลักของชาวอิสลามเลยทีเดียว เมืองนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติน้อยไม่เหมือนอัครา เพราะขนาดเมื่อวานที่เราคุยกับเพื่อนชาวญี่ปุ่น และคุณพี่ชาวอิสราเอลที่อัครา เขาก็ไม่รู้จักเมืองนี้เลย

IN03

IN04
IN05

IN06สถานีรถไฟอัมริตสา


IN07
จุดอะไรดำๆบนกล่องเต็มไปหมด?….เฮ้ย! แมลงวันนี่น่า

ขณะเดินออกมาจากสถานีรถไฟ จะมีคนเดินตามมาตลอด เพื่อให้ไปขึ้นรถแท๊กซี่เขา เดินออกมาหน้าสถานี คนขับรถรุมกันอุตลุดประมาณ 10 กว่าคน เราบอกไปว่า อยากไป Hotel Grace ใกล้ๆวิหารทอง (Golden Temple) คิดราคาเท่าไร แล้วก็มีคนขับรถคนหนึ่ง พูดอังกฤษพอได้ บอกว่า Hotel Grace นี่มันไม่ดีหรอก สภาพมันแย่มากเลยนะ  เดี๋ยวเขาพาไปโรงแรมใหม่ให้ไหม ดีกว่ากันเยอะเลย แต่โรงแรมใหม่นี้ไม่ได้อยู่ ใกล้วิหารทอง รถเขาเป็นรถยนต์ เข้าโซนวิหารทองไม่ได้ เขาห้ามเอารถเข้าไป เราก็แบบ….เออ อยากไปดูโรงแรมที่เราดูไว้ก่อนได้ไหม แล้วก็มีคุณลุงอีกคน พูดอังกฤษได้ดีเลย เสนอว่า งั้นเขาจะพาไป Hotel Grace ให้เอง แต่เขาก็ไม่แนะนำ Hotel Grace เหมือนกัน โรงแรมนี้มันเก่ามาก เขาจะพาไปดูก่อน ถ้าไม่ชอบ เขามีโรงแรมอื่นแนะนำ ที่ดีกว่า Hotel Grace แล้วรถเขาเป็นสามล้อถีบ สามารถเข้าไปโซนวิหารทองได้สบาย เราเลยตกลงไปกับคุณลุง ซึ่งคุณลุงแข็งแรงมากที่สามารถปั้นพาเราไปไหว จากการสังเกต คุณลุงจะมีเทคนิคโดยการปั้น โดยให้แป้นปั้นขึ้นไปอยู่จุดสูงสุด และถีบลงมา ซึ่งเป็นจุดที่ได้แรงมากที่สุด

IN08รถสามล้อที่จะพาเราไปโรงแรม

พอปั้นออกมาจากสถานีรถไฟ เราพบว่าอัมริตสาเป็นเมืองที่ใหญ่ทีเดียว คุณลุงปั้นพามาที่ Hotel Grace พอเราเห็นสภาพหน้าโรงแรมแล้ว (เฮ้ย!)แย่จริงๆด้วย  แมลงวันตรึมเลย เราเข้าไปดูในโรงแรม ห้องไม่ค่อยน่าอยู่นัก (โรงแรมนี้มีเขียนไว้ใน Lonely Planet ด้วย) เลยให้คุณลุงพาไปโรงแรมใหม่ที่ลุงแนะนำให้ บางคนอาจจะเคยได้ยินว่า อินเดียแมลงวันเยอะมากๆ ที่มันเยอะ นี่มันเยอะขนาดไหน แล้วเยอะจริงหรือ เมืองไทยก็เยอะนะ หลังจากที่ได้มาสัมผัสอินเดีย ก็ขอยืนยันว่า…มันเยอะมากจริงๆ เยอะทุกที่ บางที่เยอะจนน่ากลัว แต่อยู่หลายๆวันเข้า จะเริ่มชินขึ้น ระวังทางที่คุณลุงปั้นมา มีห้องน้ำสาธารณะสำหรับผู้ชายอยู่ระหว่างทาง แต่มันสาธารณะมาก เพราะสร้างไว้ข้างถนนเลย แล้วสภาพก็ย่ำแย่มาก เป็นแค่ก่อปูนขึ้นมาเพื่อกั้นให้เป็นสัดส่วน (เหมือนจะสร้างมาเพื่อไม่ให้ไปฉี่ริมกำแพง?)

IN09

IN10

IN11

IN12เมืองอัมริตสา (Amritsar)

คุณลุงพามาโรงแรมเลอโกลเด้นท์ (Le Golden Hotel) อยู่หน้าปากทางเข้าวิหารทองคำ เราเปิดดูในโพย อืมม…มีชื่อโรงแรมนี้ใน list ของ lonely planet เหมือนกัน เราขอเข้าไปดูสภาพห้องจริงข้างใน สอบถามราคา ทั้งหมดโอเค ตกลงเราพักที่นี่กัน  สำหรับการหาที่พัก ถ้าเป็นไปได้ต้องขอเข้าไปดูห้องจริง สภาพจริงก่อน ดูทั้งห้องนอน ห้องน้ำ ดูเสร็จ ทำการประเมินสภาพกับราคา ก่อนตัดสินใจ เข้าพักและจ่ายเงิน โดยเฉพาะจองผ่านเนต อย่าไปเชื่อรูปในอินเตอร์เนต บางทีมันหลอกตายังกับคนละที่ สุดยอดการ photoshop ไม่ใช่แค่เฉพาะอินเดีย ที่อื่นก็เคยเจอเหมือนกัน เช่น ที่เวียดนาม รูปในอินเตอร์เนตกับของจริงคนละเรื่องเลย ถ้าเป็นไปได้ หากโรงแรมนั้นให้จองโดยไม่ต้องโอนเงินมัดจำก่อนได้ ก็จะดีมาก หรือไม่ควรจ่ายเต็มจำนวน เสียแค่ค่ามัดจำ เพราะเราจะได้มีสิทธิ์ ดูห้องจริงก่อนได้ ถ้าไม่ชอบก็ไม่พัก และต้องระวังในเรื่องการจองผ่านเวบกลาง (เช่น พวก Agoda, Hostelworld) เพราะบางคนเคยเจอว่า ข้อมูลการจองในเวบกลางนั้นไปไม่ถึงโรงแรมที่เราจอง พอไปถึงโรงแรม ปรากฏโรงแรมเต็ม ต้องหาโรงแรมใหม่ ถ้าเราไปถึงดึกการหาโรงแรมใหม่จะลำบากมาก อย่างไรก็ตามการจองโรงแรมผ่านเวบกลางควรเช็คกลับไปที่โรงแรมเพื่อยืนยันการจองของตนเองด้วย

IN13โรงแรมเลอโกลเด้นท์ (Le Golden Hotel)

ที่โรงแรมเลอโกลเด้นท์ (Le Golden Hotel – http://hotellegolden.com) ชั้นบนของโรงแรมเป็นห้องอาหาร ชื่อ เดอะกลาส (The Glass) มีกระจกโดยรอบสามารถมองเห็น วิหารทองคำได้ ขอแนะนำเมนูซุปมะเขือเทศ อร่อยมาก หลังจากเก็บของ อาบน้ำ กินข้าวเรียบร้อย เราลงมารอที่ lobby โรงแรม หลังจากนัดให้คุณลุงพาไปเที่ยวในอัมริตสาช่วงบ่ายด้วย คุณลุงยังแนะนำการเดินทางไป ดารัมศาลา (Dharamsala) สำหรับวันพรุ่งนี้ให้ด้วย ตอนแรกจะให้ลุงพาไปวิหารทอง ตอนกลางวันเลย แต่ลุงบอกว่าแดดร้อน คนเยอะ ค่อยไปตอนดึกๆดีกว่า เพราะเปิดถึงดึก แล้วเดี๋ยวลุงจะพาไปเที่ยวที่ต่างๆในอัมริตสาเอง

IN14ห้องอาหารเดอะกลาส (The Glass)          

IN15ซุปมะเขือเทศ (Tomato Soup)

แรกวันนี้ คุณลุงพามาที่ จาลเลี่ยนวาลา บาร์ค (Jallianwala Bagh) หลายคนอาจจะไม่รู้จัก แต่ถ้าเคยดูหนังเรื่อง Gandhi ต้องคุ้นตาสถานที่นี้แน่นอน เพราะเป็นฉากหนึ่งในหนังที่สร้างจากเรื่องจริง ในช่วงยุคอินเดียประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ รัฐบาลอังกฤษพยายามรักษาอำนาจจึงหาทางจับกุมตัวคานธีในทุกวิถีทาง และพยายามทำลายภาพลักษณ์ของคานธี แต่ยิ่งรัฐบาลพยายามดำเนินการดังกล่าวมากเท่าไร ยิ่งจะทำให้เหตุการณ์บานปลายขึ้นเท่านั้น ประชาชนที่เคียดแค้นลุกฮือจนเกิดเหตุจราจลระดับประเทศ ต่อมาวันหนึ่ง นายพล Dyer ของฝ่ายอังกฤษ ไม่พอใจ จึงสั่งให้ยิงกราดเข้าไปในกลุ่มประชาชนในที่สาธารณะ จนมีผู้เสียชีวิตนับ 1,000 คน ณ ที่แห่งนี้ หรือที่รู้จักกันว่า เหตุการณ์สังหารหมู่ที่อัมริตสา (the Amritsar massacre)

IN16อนุสรณ์สถานเหตุการณ์สังหารหมู่ “จาลเลี่ยนวาลา บาร์ค” (Jallianwala Bagh Memorial)

เดินไปเรื่อยๆ จนไปถึงบ่อน้ำพลีชีพ ซึ่งปัจจุบันมีการสร้างเป็นอนุสรณ์สถาน ครอบบ่อน้ำเดิมไว้ คุณลุงเล่าว่า ตอนที่ทหารอังกฤษยิง ผู้คนต่างพากันแตกตื่น หนีกันคนละทิศละทาง บางคนโดดลงบ่อน้ำ แล้วคนก็โดดๆตามกันลงไปเพื่อหนีตายจากกระสุน ทำให้มีผู้เสียชีวิตในบ่อนี้นับร้อยคน (ลุงเล่าจบ พร้อมกับมองลงไปในบ่อ…หลอนเลย) ภายในบริเวณยังคงมีร่องรอยกระสุนบนกำแพงที่ยังคงเก็บรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน

IN17บ่อน้ำพลีชีพ (The Martyrs’ Well)


IN18

IN19

IN20ภายในจาลเลี่ยนวาลา บาร์ค

จบจากจาลเลี่ยนวาลา บาร์ค (Jallianwala Bagh) คุณลุงพามาสถานที่ …ที่ไม่คาดคิด (คิดในใจ..คุณลุงไม่ต้องพาหนูมาถึงแก่นอินเดียขนาดนี้ก็ได้นะคะ มันน่ากลัวเกินอ่ะค่ะ) เป็นสถานที่พักในสมัยก่อนของผู้มาแสวงบุญ ที่นี่พักฟรี ปัจจุบันเข้าไปก็ยังมีคนอาศัยอยู่ (โห…อยู่กันไปได้ไงเนี่ยยย) สภาพตึกเหมือนจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ ด้านในแบ่งเป็นห้องๆ สภาพทรุดโทรมมาก มีบ่อน้ำเก่าที่เต็มไปด้วยขยะ และแมลงวันที่บินให้ว่อนในตึก คุณลุงเล่าว่าเมือก่อนตึกนี้เป็นตึกที่สวยงามมาก ดูได้จากลวดลายประตูที่ละเอียดและพิถีพิถัน

IN21

IN22

สถานที่พักของผู้มาแสวงบุญในสมัยก่อน

ต่อมาคุณลุงพาเราเดินทางผ่านตลาดที่หนาแน่นไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายใช้สอย จนมาถึงวัดศรีดูร์ไกอาน่า (Sri Durgiana Temple) หรือที่รู้จักกันในนาม วัดเงิน (Silver Temple) เป็นวันฮินดูที่สร้างเพื่อถวายแก่เทพเจ้าดูการ์ (Dugar) หรือพระแม่ทุรคา อีกทั้งมีการแกะสลักแผ่นเงินไว้ที่ประตูอย่างสวยงาม เป็นวิหารทองแบบฮินดู เพราะสร้างสไตล์เหมือนวิหารทองเป๊ะแต่ลดขนาดลงมา คือ มีการสร้างวิหารไว้กลางน้ำ ด้านในวัดมีพระศิวะ พระกฤษณะ คุณลุงอธิบายรายละเอียดได้อย่างกับไกด์มาเอง เล่าได้ทั้งมหากาพย์รามายณะเลย แทบไม่อยากจะเชื่อว่าลุงเป็นคนขับสามล้อ ที่นี่มีคนมาขอเราถ่ายรูปด้วย คุณลุงบอกว่าคนอินเดียชอบถ่ายรูปกับชาวต่างชาติ เขาจะเห็นว่าคนต่างชาติที่มาเป็นดารา (จริงหรอค่ะ คุณลุง J)

IN23

IN24ความหนาแน่นในตลาด

IN25

IN26

IN27

IN28วัดศรีดูร์ไกอาน่า (Sri Durgiana Temple) หรือ วัดเงิน (Silver Temple)


IN29

IN30

IN31ร้านขายของบูชาในบริเวณวัด

IN32จุดฝากรองเท้าหน้าวัด

IN33แผ่นเงินสลักบนไม้ที่ประตู

            ต่อมาคุณลุงพาเราเดินมาวัดฮินดูแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างๆวัดเงิน เป็นวัดที่ใช้เผาศพ ซึ่งเขาเอาศพมาเผากันกลางลาน หลังจากเผาที่นี่เสร็จ เขาจะเอาเถ้าไปลอยอังคารที่แม่น้ำคงคา คุณลุงพาทัวร์ในวัดและชี้ไปที่ภาพๆหนึ่งบนผนัง เป็นรูปภาพอเล็กซานเดอร์มหาราช ตอนมารบแถบชมพูทวีปนี้ แล้วเขาก็มาตายที่นี่ ลุงบอกว่า เห็นไหม ตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้ ไม่ว่าจะมียศ มีเงินขนาดไหน สิ่งที่คงอยู่กับเราได้ก็คือคุณงามความดีที่จารึกไว้จนชั่วลูกชั่วหลาน (โอ้ว…ลึกซึ้ง)

IN35วัดข้างๆวัดเงิน

IN36

IN37สถานที่เผาศพในวัด

คุณลุงพาเราไปต่อที่วัดมาตา (Mata Temple) หรือวัดถ้ำ (Cave Temple) เป็นวัดฮินดู สร้างในตึก ทำเป็นถ้ำซับซ้อนคล้ายเขาวงกต สร้างจากความศรัทธาในหญิงชราคนหนึ่งที่เป็นที่นับถือจากชาวฮินดูจนเรียกว่าแม่ (มาตา) ภายในวัดจะแนวๆ Adventure หน่อยเพราะจะมีให้เดินขึ้น เดินลง มุดถ้ำ เดินผ่านธารน้ำ ภายในมีการประดับประดาด้วยกระจกสี และรูปปั้นต่างๆ ที่นี่มีคนพยายามจะถ่ายรูปกับเราด้วยล่ะ

IN38ภายในวัดมาตา (Mata Temple)

IN39

IN40ความซับซ้อนของถ้ำภายในวัด

IN41รูปปั้นนางกาลี

IN42

IN43การประดับประดาด้วยกระจกสี

IN44

IN45สุดปลายถ้ำ มีเหมือนให้ทำพิธี เขาแต้มจุดแดงที่หน้าผาและคล้องพวงมาลัยดอกไม้ให้ เขาหยิบข้าวพองมาให้ 1 กำมือ ให้กินเพื่อความเป็นสิริมงคล

จบจากการชมวัดมาตา เราออกมาเอารองเท้าที่ฝากไว้ เห็นป้ายโฆษณาภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะพบได้ในเมือง ทำให้คิดไปว่า ถ้าใครจะมาฝึกภาษาอังกฤษที่อินเดีย เป็นเดือนๆ หรือมาเรียนต่อที่นี่ จะไม่ได้แค่ภาษาแน่นอน แต่ได้ความอึด+ถึกไปด้วย เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ต้องสู้ชีวิต

 

สำหรับการเรียนที่อินเดียนั้น เห็นปัจจุบันหลายคนส่งลูกหลานมาเรียนโรงเรียนอินเตอร์ที่นี่เพื่อฝึกภาษาอังกฤษ แนะนำให้ผู้ที่สนใจมาเรียนต่อที่อินเดีย ถึงแม้จะติดต่อผ่านเอเจนซี่ ควรบินมาดูที่เรียนก่อนว่าโอเคหรือไม่สำหรับผู้เรียน สำหรับการศึกษาในระดับมัธยมที่อินเดีย ที่นี่เขามีหลักสูตรหลายระบบทั้ง ระบบ CBSE / ระบบ ICSE / ระบบ IGCSE ซึ่งเป็นระบบการเรียนแบบอังกฤษ แต่ละหลักสูตรหนังสือเรียนจะไม่เหมือนกัน แต่เนื้อหาจะไปในทางเดียวกัน ถ้าสนใจไปเรียนในระดับมัธยม ต้องลองศึกษาแต่ละระบบในเชิงลึกอีกที เพราะจะต่างกันในช่วงเวลาการเปิดเทอม ช่วงเดือนที่เรียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบเมื่อจบระดับม.6 แล้ว อาจจะศึกษาต่อในปริญญาตรีไม่ต่อเนื่อง เพราะเปิดเทอมกันคนละเดือน ครั้นจะกลับมาสอบเอนทรานซ์ที่เมืองไทยก็คงยากอยู่ ต้องเข้าเรียนอินเตอร์ไปเลยถ้ากลับมาเมืองไทย สำหรับในระดับปริญญาตรีที่อินเดีย ถ้าเรียนเป็นสายบริหาร ที่นี่เรียนเพียง 3 ปี นี่ถ้าเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษอีก ก็สามารถร่นเวลาเรียนปริญญาตรี + ปริญญาโท เหลือเพียง 4 ปีเท่านั้น เพราะที่อังกฤษเรียนปริญญาโท 1 ปี

จากนั้นเรามาเปลี่ยนเป็นรถเก๋ง ซึ่งคนขับหนุ่มเพื่อนต่างวัยของคุณลุงจะเป็นคนพาเราไปดูพิธีเปลี่ยนเวรยามชายแดนอินเดีย-ปากีสถาน (Border Ceremony) ที่ชายแดน เมืองแอทารี่ (Attari) ห่างจากเมืองอัมริตสา (Amritsar) ประมาณ 30 กม. ซึ่งข้ามฝั่งปากีสถานไปจะเป็นเมืองละฮอร์ (Lahor) เราก็แอบกังวลอยู่หน่อยๆ เพราะเมื่อตอนกลางวันมีข่าวใหญ่ใน TV ทุกช่องว่า สหรัฐเพิ่งจับตายบินลาดิน (Binladin) ที่ปากีสถานในวันนี้ แล้วเรากำลังจะไปชายแดนปากีสถาน จะเป็นอะไรไหมเนี่ย? แต่คุณลุงบอกไม่มีอะไรหรอก ปลอดภัยๆ ก่อนเดินทางไปเมืองแอทารี่ (Attari)  เราร่ำลาคุณลุง ถ่ายรูป ก่อนจาก เพราะพรุ่งนี้เราเช่ารถเก๋งต่อไปดารัมศาลา (Dharamsala) คงไม่ได้เจอคุณลุงแล้ว

IN47ถ่ายรูปกับคุณลุงก่อนจากกัน

ณ ชายแดน เราได้พบกับห้องน้ำ (สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1) เป็นห้องน้ำที่แย่ที่สุดในอินเดียทริปนี้ เดินเข้าไปตามทางเข้าห้องน้ำ ต้องแหวกแมลงวันที่เกาะอยู่บนพื้นเป็นร้อยๆตัว จนมันบินกันให้ว่อน เหมือนเดินเข้าไปในฝูงนกพิราบที่สนามหลวงแล้วฝูงนกแตกหือ ประมาณนั้นเลยทีเดียว เข้าไม่ลง! และนี่ก็เป็นความลำบากสำหรับผู้หญิงในการมาเที่ยวอินเดียอีกอย่างหนึ่ง เพราะหาห้องน้ำ (ดีๆ) ระหว่างทางยากมาก (กินน้ำเยอะก็ไม่ได้ เดี๋ยวเข้าห้องน้ำบ่อย บางทีต้องเก็บไว้จนเยี่ยวเหนียวไปเลย…ตึง!) เราเดินตามทางมาเรื่อยๆจนถึงด่าน เจ้าหน้าที่จะแยกตรวจอาวุธ ชาย/หญิง และห้ามนำน้ำเข้า มีการแบ่งโซนที่นั่งสำหรับนั่งท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะ มีการจัดที่นั่งเป็นอัฒจันทร์ให้นั่งเชียร์เหมือนมาเชียร์บอล เขาเปิดเพลงเสียงดังให้ชาวอินเดียมาเต้นประกอบเพลงที่ลานด้านล่าง ทหารอินเดียจะใส่เสื้อสีกาสี ส่วนอีกฝั่งใส่เสื้อสีเขียวเข้มเป็นทหารปากีสถาน ฝั่งปากีสถานคนไม่เยอะเท่าฝั่งอินเดีย พิธีเปลี่ยนกะเริ่มเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ดังนั้นควรจะเผื่อเวลาตอนมาจากอัมริตสามาที่เมืองแอทารี่ด้วย เพราะต้องผ่านด่านการตรวจกว่าจะมาถึงที่อัฒจรรย์ เราได้ถ่ายรูปกับทหารอินเดียที่นี่ด้วย ทหารที่นี่ตัวใหญ่มาก ปกติคนอินเดียจะตัวไม่ใหญ่ขนาดนี้ (เออ…หรือเราตัวเล็กเกินไปเอง -*-)

IN48

IN49บริเวณชายแดนอินเดีย-ปากีสถาน


IN50
โซนที่นั่งพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะ (VIP)

IN51

IN52

IN53

IN54พิธีเปลี่ยนเวรยาม ชายแดนอินเดีย-ปากีสถาน (Border Ceremony)

หลังจากกลับถึงโรงแรมที่อัมริตสาก็เหนื่อยมาก แต่ยังมีภาระกิจที่ต้องไปเดินวิหารทอง (Golden Temple) ก่อนเข้าไปในวัดต้องใช้ผ้าคลุมหัวด้วยทั้งผู้หญิงและผู้ชาย (มีขายหน้าวัด สำหรับคนที่ไม่ได้เตรียมมา ราคาผืนละ 10 รูปี) เราไปเดินกันตอนดึกแล้ว ประมาณ 3 ทุ่มได้ คนยังเยอะอยู่เลย ก่อนเข้าต้องถอดรองเท้าฝากไว้และเดินเท้าเปล่าเข้าไป ภายในวัดตอนกลางคืนสวยมาก ตรงกลางน้ำเป็นวิหารทอง มีผู้แสวงบุญชาวซิกข์มากมายต่อแถวกันเข้าไปด้านในวิหาร (คนต่อแถวเยอะมาก จนคิดว่าถึงเช้าแล้วแถวก็คงจะไม่หมด)

IN55ให้คนขายผูกผ้าให้ด้วยเลย
IN56
มีคนมาขอถ่ายรูปอีกแล้ว

IN57

IN58

IN59

IN60วิหารทอง (Golden Temple)

Advertisement

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s