[India, May2011]
สำหรับการเที่ยวใกล้ๆเมืองศรีนาคามี 3 จุดหลักๆ ที่สามารถไปเที่ยวได้แบบไป-กลับ ใช้เวลาวันละแห่ง คือ 1.Pahalgam (พาฮาลแกม) 2.Gulmarg (กุลมาร์ค) 3.Sonamarg (โซนามาร์ค) ถ้ามีเวลาไม่พอไปทั้งหมดสามแห่ง ต้องเลือกที่ใดที่หนึ่ง
เช้าแล้ว…วันนี้เราจะไปโซนามาร์ค (Sonamarg) กัน เราแจ้งกับน้องชายคนเล็กไว้ว่า เราจะตัดสินใจอีกทีตอนเรากลับมาจากโซนามาร์ค ว่าจะพักต่อหรือย้ายไปพักในเมือง (แต่จริงๆเราเตรียมจะย้ายออกแล้ว) เรามานั่งกินอาหารเช้าในเรือ Lucky Peacock อาหารเช้ามีไข่เจียว, ขนมปังแบบแคชเมียร์, เนย, น้ำชากลิ่นเครื่องเทศ
วันนี้ฝนตกปรอยๆ อากาศเย็นเข้าไปใหญ่ แล้วด้วยความเป็นคนที่จะหนาวมากกว่าคนอื่นประมาณ 1 step คือ ถ้าคนอื่นๆรู้สึกเย็นๆ…จะรู้สึกหนาว คนอื่นใส่เสื้อหนาว…เริ่มใส่เสื้อโค้ท คนอื่นใส่เสื้อโค้ท…ใส่เสื้อแบบอยู่อะแลสก้าไปเลย! พี่ชายคนโตบอกว่าที่โซนามาร์คหนาวมาก เสื้อแค่นี้ไม่พอหรอก (แต่เราก็ใส่เสื้อ long john ซึ่งร้านที่ซื้อมาบอกว่ากันได้ถึง 0 องศาไปแล้วนะ) เขาเลยจะให้ยืมเสื้อหนาวของแฟนเขา เขาพาเราเดินไปบ้านเขาที่อยู่บนบกด้านหลังเรือ ไปถึงที่บ้าน เจอแฟนเขากับลูก ลูกเขาน่ารักเลย หน้าตาฝรั่งมาก เพราะแฟนเขาเป็นคนสวิตเซอร์แลนด์ เขาบอกว่าเขาอยู่ที่นี่ 6 เดือน อยู่สวิต 6 เดือน ที่สวิตแฟนเขาก็มีกิจการโรงแรมเหมือนกัน เขาชวนเราไปพักด้วย แฟนเขาหยิบ sweater ให้ 1 ตัวเพื่อไปโซนามาร์ค สักพักรถก็มารับเราไป
ใช้เวลาเดินทางไปโซนามาร์คประมาณ 3 ชม. เราแวะพักระหว่างทางเป็นระยะ จุดแวะพักจะมีร้านอาหาร ชาร้อนๆและอุปกรณ์กันหนาวขาย คนอินเดีย(ที่อยู่ต่างเมืองและมีฐานะ) มาเที่ยวที่โซนามาร์คกันเยอะเลย คนท้องถิ่นที่แคชเมียร์นิยมใส่เสื้อคลุมสไตล์แคชเมียร์ หรือ “เปรัน” (Pheran) เป็นเสื้อคลุมตัวยาวถึงน่อง มีแขนยาว เป็นเครื่องแต่งกายตามแบบประเพณีนิยมของชาวแคชเมียร์โดยเฉพาะผู้ชาย
รถที่พาเราไปโซนามาร์ค (Sonamarg)
บ้านเรือนที่นี่จะนิยมมุงหลังคาสังกะสีสีเงิน
ลำธาร
เราเดินทางมาถึงโซนามาร์คพร้อมกับความเมื่อยล้า พอลงจากรถเราต้องเปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าบูทก่อน ซึ่งจะต้องเสียตังค์กันอีกแล้ว ส่วนคนลากเลื่อนจะตามเราแบบแนบชิด เพื่อเสนอราคาในการลากเราขึ้นไปบนเขาแล้วปล่อยให้สไลด์ตัวลงมา ส่วนราคานั้นแล้วแต่ต่อรอง เราต่อรองกับคนลากเลื่อนจนได้ราคาเป็นที่พอใจจึงตกลง
คนลากค่อยๆลากเราขึ้นไป พอช่วงทางชัน เราต้องลงเดินบ้างเพราะมันชันมาก เขาลากไม่ไหว เขาบอกเราว่าเราจะถ่ายรูปกับหิมะไหม เราก็บอก..ถ่ายสิ สักพักเขาลงไปนั่งแล้วโกยหิมะขึ้นมาจากพื้น (เฮ้ย!) เพื่อให้เราถ่ายรูปแล้วเหมือนหิมะกำลังตกลงมา (ไม่ต้องขนาดน้านก็ได้…) สรุปเปียกเปื้อนกันไปหมด
เราเห็นคนเล่นสกีอยู่ลิบๆ แต่เราคงเดินไปไม่ไหว อยู่ชมบรรยากาศแค่แถวนี้แล้วกัน เราไปนั่งพักเหนื่อยจากการเดินขึ้นเขาที่จุดพักบนเนิน ซึ่งมีซุ้มขายของอยู่ สั่งชาร้อนมากินแก้หนาว นั่งคุยกับคนที่ลากเลื่อน เขาบอกว่าเขาไม่ได้เรียนในโรงเรียน เขาเลยต้องมาหาเงินโดยการลากเลื่อนให้กับนักท่องเที่ยว เขาพูดได้ 5 ภาษา(เพราะอินเดียมีภาษาท้องถิ่นเยอะมาก) เขาเรียนภาษาอังกฤษจากการพูดคุยประจำวัน ซึ่งก็เก่งนะเพราะเขาพูด ฟังประโยคประจำวันรู้เรื่องหมด แต่เขาเขียนไม่ได้เพราะไม่ได้เรียน เราคุยไปคุยมาจนขอยืมเสื้อคลุมแคชเมียร์เขามาถ่ายรูป เขาถอดมาให้เราใส่ถ่ายรูปเลย เสื้อตัวใหญ่มาก ใส่เสร็จแขนไม่โผล่ (หรือ เราแขนสั้นเกิน) จากนั้นเราลงจากเนินด้วยการสไลด์เลื่อนลงมา เนื่องจากผู้ร่วมทริปตัวใหญ่ไปหน่อย ช่วงสไลด์ตัวลงมาทำให้ที่ลากเลื่อนไม้พังไป 1 อันเลย (ซะงั้น)
เริ่มหิวโหย เราแวะกินอาหารกลางวันที่โรงแรมโซนามาร์คพาเลซ (Sonamarg Palace Hotel) ในละแวกนั้น ในเมนูมีอาหารเชน (Jain Food) ด้วย เราเลยลองสั่งมาดู (ศาสนาเชนเป็นศาสนาหนึ่งในอินเดีย เข้มงวดเรื่องอาหารมาก) เราสั่งมา 2 อย่าง เป็นแกงที่รสชาติแปลกดี
โรงแรมโซนามาร์คพาเลซ (Sonamarg Palace Hotel)
หลังจากนั้น เราเดินชมวิวสักพัก จึงเดินทางกลับศรีนาคา เราบอกให้คนขับแวะ Hotel Swiss ก่อนกลับ House Boat เขาตอบโอเคๆ แต่มีการยกโทรศัพท์ โทรกลับไปที่ House Boat แล้วหันมาบอกกับเราว่าเขาไม่รู้ทางไป ยังไงเดี๋ยวเขากลับไปที่ Houseboat ก่อน เดี๋ยวน้องชายคนเล็กจะพาไป เราก็แบบ เออ…ทำไมต้องกลับไปที่ Houseboat ด้วยอ่ะ เดี๋ยวเราบอกทางก็ได้ เรามีแผนที่อยู่ ที่ตั้ง Hotel Swiss หาง่ายมาก มันอยู่ใกล้ๆเนรูปาร์ค (Nehru Park) เลย แต่คนขับยังยืนยันขอกลับไปที่ Houseboat ก่อน (หึๆ มีเลสนัยจริงๆ อย่างนี้มันไม่จริงใจนี่หว่า..) ด้วยความที่เราเหนื่อย ขี้เกียจเถียงแล้ว อีกทั้งพวงมาลัยก็อยู่ในมือคนขับอยู่ดี….สรุปคนขับก็พาเราไปแวะรับน้องชายคนเล็กก่อนไป Hotel Swiss จริงๆ My God! นี่จะไม่ปล่อยฉันไปจริงๆใช่ไหมเนี่ยยยย พอน้องชายคนเล็กขึ้นรถปั๊ป ก็ถามเราเลยว่าพรุ่งนี้จะไป city tour กี่โมง เราบอกว่า 9.00น.มั้ง แต่เราขอคิดดูก่อนแล้วเราจะบอกคุณอีกที เราอาจจะไม่ไปกับทัวร์ของคุณต่อแล้ว
ไปถึง Hotel Swiss เราได้พูดคุยกับเจ้าของโรงแรม (ที่เราเมล์มาจองไว้แล้วแต่ไม่ได้มาพัก) เจ้าของโรงแรมแอบโกรธเราเลย แล้วเขาก็บอกด้วยว่า ผมน่ะ เชื่อคุณนะ เพราะผมให้คุณจองโดยไม่ต้องมัดจำด้วย แล้วทำไมถึงเลื่อนโดยไม่บอกล่วงหน้า เราขอโทษขอโพยกันใหญ่เลย แล้วก็สัญญาว่า พรุ่งนี้เราจะมาพักที่นี่ให้ได้ วันนี้เราอาจจะย้ายมาพักที่นี่ไม่ได้จริงๆ เพราะ Houseboat คงไม่ปล่อยเราไปแน่ ดูสิ!ขนาดมาที่ Hotel Swiss เขายังตามเรามาด้วยเลย! (เซ็ง!) แต่เราจะพยายามมาพักที่นี่ ถ้าสามารถมาพักได้ เราเลยขอจ่ายมัดจำเลย เพื่อยืนยันว่าเราจะมาพักที่นี่ให้ได้จริงๆ (ที่จริงเขาไม่ได้ร้องขอให้เราจ่ายมัดจำแต่อย่างใด…ตอนนั้นรู้สึกผิดมาก ทำให้ได้ข้อคิดว่า ถ้าเราสัญญาอะไรกับใครไว้ ควรทำตามสัญญานั้น) พอเดินออกมาจาก Hotel Swiss เราบอกกับน้องชายคนเล็กว่า ยังไงเราก็จะมาพักที่นี่ เรามัดจำไปแล้วด้วย น้องชายคนเล็กทำหน้าเสียเลย
พอกลับมาถึงบ้านเรือ เราบอกกับน้องชายคนเล็กว่า เราไม่ไป city tour พรุ่งนี้กับคุณแล้วนะ พรุ่งนี้เช้าเราจะ check out จากบ้านเรือคุณ เท่านั้นและ! น้องชายคนเล็กบอกว่า ไม่ได้แล้ว เรา confirm รถไปแล้ว (เฮ้ย! บ้าแล้ว อะไรมันจะ confirm อะไรเร็วขนาดนั้น แล้วก็บอกไปแล้วว่า เดี๋ยวฉันจะบอกอีกที! ฉันยังไม่ทันได้ยืนยันอะไรเลย โห…เซ็ง! อยากกระโดดฟรีคิกสักที) แล้วน้องชายคนเล็กและพี่ชายคนกลางก็ไม่ยอมให้เรา cancel …เราเถียงกันจน เลือดตาแทบกระเด็น จนเหนื่อย เราบอกไปว่างั้นเราขอออกจากที่นี่คืนนี้เลย ก็มีการขู่ว่าจะไปฟ้องตำรวจ เพราะว่าคุณเซ็นสัญญาซื้อทัวร์ในใบที่เขียนไว้แล้ว แล้วมันก็ชี้ๆที่ใบสัญญา (โห..เล่นยังงี้เลย…แล้วเราไม่ได้มีเขียนให้ cancel ได้ไว้ การ cancel ได้นั้นเราตกลงกันเพียงปากเปล่า)
เราพักยกการฉะปะดะในช่วงเย็นลงก่อน เพราะเราเถียงไม่ชนะ เดี๋ยวเรามีแรงแล้ว ค่อยเริ่มสู้ใหม่ ถึงคืนนี้เราต้องพักอยู่ที่นี่ แต่เราได้ย้ายไปพักบนเรืออีกลำ Lucky Peacock ที่สภาพดีกว่า เราย้ายของมาเรือลำใหม่เสร็จ นั่งพักผ่อนที่เรือลำใหม่ ชมวิวทะเลสาบ ส่วนน้องชายคนเล็ก ตอนนี้เลิกยุ่งกับเราไปช่วงหนึ่ง เพราะได้เหยื่อรายใหม่…
ภายในบ้านเรือที่ตกแต่งอย่างสวยงาม
น้องชายคนเล็กเลิกสนใจเราไปหาเหยื่อรายใหม่
เรานั่งสงบที่หน้าเรืออยู่ได้ไม่นาน ก็มีเรือพ่อค้าขายเครื่องประดับขึ้นมาบนเรือเราทันที! (เฮ้ย! นี่ฉันต้องฉะปะดะกับพ่อค้าอีกแล้วหรือนี่) พ่อค้าพยายามเชื้อเชิญให้เราซื้อสินค้าด้วยวิธีการต่างๆนานา ทั้งยื่นหนังสือสารานุกรมด้านอัญมณีให้เราดู แล้วค่อยๆแกะซองเครื่องประดับในกล่องทั้งหลายออกมา (ขอเน้น!ว่าทั้งหมด)เราพยายามบอกว่า คุณไม่ต้องแกะออกมาหรอก ยังไงเราก็ไม่ซื้อ เดี๋ยวคุณจะเก็บลำบากเปล่าๆ แต่เขายังไม่ย่อท้อในการแกะห่อออกมาทุกห่อให้เราดู (คงพยายามทำให้เราเกรงใจ จนถึงที่สุด) แต่ด้วยความที่เราเริ่มผ่านมาเยอะ เราจึงไม่ต้องมีการเกรงใจแต่อย่างใด เรายืนยันในความมั่นคงที่จะไม่ซื้อ พร้อมกับช่วยเขาห่อเก็บลงกล่องไป!
จบจากการเก็บอัญมณีลงกล่อง พี่ชายคนกลางมาเรียกเราให้ไปดูร้านขายพรม ที่เมื่อวานเราไม่แวะ ซึ่งเจ้าของร้านนั้นได้รอเราอยู่บนเรือแล้ว (โห!) เราอิดออดไม่อยากไป แต่เขาคะยั้นคะยอจนเราต้องไป เพราะรำคาญ อีกใจก็ เอาว่ะ ไหนๆก็ได้นั่งเรือชิคาราชิวๆ ไปที่ร้านขายพรม นั่งชิวๆไปเรื่อยๆแล้วกัน ถ้าเราใจแข็งซะอย่าง เจ้าร้านคงทำอะไรเราไม่ได้ ฮะฮะฮ่า 555 (เจอแขกจนบ้าไปแล้ว)
เจ้าของร้านพายเรือพาเราไปจนถึงร้าน เขาพาเราไปดูการสาธิตวิธีการถักพรม ซึ่งคนถักพรมจะถักตาม pattern บนกระดาษ ที่มีตัวหนังสือบอกลาย (ที่ดูยากมาก คนถักพรมเขาสามารถจริงๆ) จากนั้นเขาพาเราไปเลือกซื้อพรม (โอ้ว!) ห้องแสดงพรมเหมือนที่อัครา เขาพยายามกางพรมทั้งหลายออกมาให้เราดู พร้อมบอกรายละเอียดความปราณีตของพรมแต่ละลาย จนเราบอกอีกเหมือนเดิมว่า เรายังไม่สนใจ ไม่ต้องกางออกมาแล้ว เขาก็ไม่ย่อท้อ จนสุดท้ายเขารู้ว่าเราไม่เอาแล้วจริงๆ เขาก็มีแผนสอง ให้เราไปดูห้องข้างล่างที่ขายของที่ระลึก ส่วนใหญ่จะเป็นเปเปอร์มาเช่เอามาทำเป็นสินค้าต่างๆ เยอะมาก เขาเสนอเราชิ้นใหญ่ๆก่อน จนสุดท้ายเรายืนกรานไม่เอา เขาจึงเริ่มเสนอของชิ้นเล็กลงเรื่อยๆ (ต้องบอกว่าพยายามขายตั้งแต่เรือรบยันไม้จิ้มฟันเลยทีเดียว) แต่เราก็ผ่านมาได้โดยไม่มีอะไรติดมือกลับมา (เย้ๆ)
เรากลับมาอย่างหิวโหย ทางบ้านเรือได้เตรียมอาหารไว้ให้เราแล้ว แต่…พอเราเปิดหม้อออกมา เอ๊ะ! มันมีเทคนิคอะไรบางอย่างอีกแล้ว เราพบว่าอาหารลดน้อยลง 1 อย่าง รวมทั้งอาหารแต่ละอย่างไม่มีเนื้อเลย ซึ่งแตกต่างจากเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด (หืมม…ร้ายจริงๆ ลด cost กันเห็นๆ) กินเสร็จ เราเริ่มมีแรง ไม่วายไปฉะปะดะฝีปากต่อสู้กับพี่ชายคนกลางต่อ เพื่อเจรจาเรื่องวันพรุ่งนี้ และถกเถียงในสิ่งที่เขาทำกับเราที่ผ่านมา เถียงกันจนนึกภาษาอังกฤษแทบไม่ทัน สรุปเราฉะฝีปากแพ้อีกแล้ว เฮ้ออออ….ไปนอนดีกว่า