[India, May2011]
เช้านี้…เรามุ่งมั่นว่า “เราต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้” หลังกินอาหารเช้าเสร็จ เราลากน้องชายคนเล็กมาเจรจาด้วยทันที ก่อนพี่ชายคนกลางจะมา เพราะพี่ชายคนกลางเจรจายากมาก แต่เจรจายังไม่ทันสำเร็จ พี่ชายคนกลางก็มา เราเจรจาต่อจนในที่สุดเขายอมปล่อยเราไป (โอ้ว!ในที่สุด)
พี่ชายคนกลางเจ้าของเรือ ยอมปล่อยเราไป
เราเดินทางออกมาจากบ้านเรือ โดยให้เรือชิคาราไปส่งที่ท่าเรือตรงเนรูปาร์ค ใกล้ๆ Hotel Swiss ระหว่างทางมีเรือหลายลำพยายามเก็บสาหร่ายใต้น้ำ ซึ่งที่นี่มีเยอะมาก สาหร่ายที่เขาโกยขึ้นมาบนเรือนั้น กลิ่นเหม็นเขียวลอยมาเตะจมูกเลยทีเดียว ตาเหลือบไปเห็นบ้านเรือลำหนึ่ง ชื่อเป็นมงคลมาก น่าจะมีลูกค้าเยอะ อิๆ….ชื่อ lalita เหมือนกันเลย
เรือพายจนไปถึงฝั่ง ตอนลงจากเรือ เราพบพี่ผู้หญิงคนไทย 2 คน เขากำลังจะเดินทางไปสนามบินเพื่อกลับนิวเดลี เราถามเขาว่าเที่ยวที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง โดนแขกหลอกบ้างไหม เขาบอกว่าโดนเหมือนกัน เขาได้บ้านเรือจาก agent ที่ไปเสนอที่สนามบินตอนขาเดินทางมาที่นี่ ปรากฏบ้านเรือลำนั้นอยู่ในหลืบเลย (ดังนั้น…อย่าลืมอ่านในหัวข้อ ปัญหาการถูกโกงโดยบ้านเรือ ที่อยู่ในวันที่ 7 ของการเดินทาง)
น้ำใสมาก (แต่ในรูปอาจจะดูขุ่นๆ)
บ้านเรือลำนี้…ชื่อ lalita เหมือนกันเลย
เราเดินจากท่าเรือ ลัดเลาะมาเรื่อยๆจนถึง Hotel Swiss เรา Check-in และเก็บของในห้องพัก โดยให้ทางเจ้าของโรงแรมติดต่อรถตุ๊กๆเพื่อพาเราทัวร์ในเมืองศรีนาคา รถตุ๊กๆคิดราคา 500-600 รูปี/วัน
จุดหมายแรก รถตุ๊กๆพาเราขึ้นเขา Takht-I-Sulaiman (Throne of Solomon) หรือ เขาชานคาราชาร์ยา (Shankaracharya Hill) อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองศรีนาคา ยอดเขาสูงประมาณ 1,000 ฟุต มีวัดศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างอุทิศพระศิวะ รู้จักกันในชื่อ The Temple of Jyeshteswara (Shankaracharya) สร้างเมื่อ 220 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นสถานที่ที่เก่าแก่ที่สุดในศรีนาคา ก่อนเข้าไปในบริเวณวัดจะมีการตรวจอาวุธและห้ามนำกล้องถ่ายรูปขึ้นไป ระหว่างลงจากเขา รถตุ๊กๆจอดให้เราแวะถ่ายรูป และชมวิวเมืองศรีนาคาจากบนเขา เราสามารถมองเห็นป้อมปราการบนเขาและบ้านเรือ (Houseboat) บนทะเลสาบดาล (Dal Lake)
The Temple of Jyeshteswara (Shankaracharya)
จุดชมวิวบนเขา สามารถมองเห็นบ้านเรือในทะเลสาบดาล
ป้อมปราการบนเขา (Hari Parbat Hill)
จากนั้นเราไปต่อกันที่ สวนพฤกษศาสตร์เนรู (Nehru Memorial Botanical Garden) สวนแห่งนี้เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1969 ประกอบไปด้วย 4 ส่วน คือ สวนเพื่อการพักผ่อน, สวนพฤกษศาสตร์, ส่วนงานวิจัย และศูนย์เพาะปลูก ภายในมีทะเลสาบที่สามารถพายเรือได้ บรรยากาศภายในสวนน่าพักผ่อนทีเดียว
Nehru Memorial Botanical Garden
เรามาต่อกันที่สวนที่ 2 ของวันนี้ สวนนิชาท สวนโมกุลแห่งแคชเมียร์ (Mughal Garden Nishat, Nishat Bagh) มีสมญานามว่า “Garden of Pleasure-สวนแห่งความปิติยินดี” ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของทะเลสาบดาล (Dal Lake) มีฉากหลังเป็นภูเขาซาบาร์วาน (Zabarwan Mountain) เป็นสวนโมกุลที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ในหุบเขาแคชเมียร์ (Kashmir Valley) ห่างจากจุดศูนย์กลางเมืองศรีนาคาประมาณ 11 กิโลเมตร สวนถูกออกแบบในสไตล์สวนเปอร์เซีย (Persian Gardens) ถูกสร้างและออกแบบในปี ค.ศ.1633 โดยอาซีฟ ข่าน (Asif Khan) คำว่า Nishat Bagh เป็นคำในภาษาฮินดู หมายความว่า Garden of Joy-สวนแห่งความสนุกสนาน, Garden of Gladness-สวนแห่งความสุข, Garden of Delight-สวนแห่งความยินดี สวนถูกจัดไว้อย่างสวยงามน่าพักผ่อน ซึ่งที่ศรีนาคามีสวนสวยๆหลายแห่งทีเดียว
ด้านหน้าสวนนิชาทมีรถเข็นขายอาหารอยู่พอสมควร โดยเฉพาะไอศกรีมใส่เส้น เป็นเส้นๆที่หน้าตาคล้ายอุด้ง เราเลยตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ไอศกรีมอุด้ง เราซื้อมาชิม 1 ถ้วย ขอไม่ใส่โคน เพราะโคนไอศกรีมที่นี่สีแสบทรวงจริงๆ รสชาติของตัวไอศกรีมเองก็โอเคอยู่ น่าจะเป็นไอศกรีมนมแพะ แต่พอกินกับเส้นแล้ว รสชาติแปลกไปในทางที่ไม่ค่อยดีนัก (เอ๊ะ!ยังไง) เราเลยกินแบบชิมๆ คือ กินแบบไม่จริงจัง ระหว่างชิมอยู่ สังเกตพบว่าร้านขายไอศกรีมแบบเดียวกันนี้ที่หน้าสวนนิชาทเยอะมาก ขายไอศกรีมแบบเดียวกัน ซ้ำๆกันประมาณ 4-5 ร้านได้ จริงๆแล้วเขาควรจะกระจายไปขายอย่างอื่นกันบ้างนะเนี่ย
สวนนิชาท สวนโมกุลแห่งแคชเมียร์ (Mughal Garden Nishat, Nishat Bagh)
รถเข็นขายอาหารหน้าสวนนิชาท
ไอศกรีมที่นี่ใส่เส้นด้วย (มันเข้ากันยังไงหว่า?)
นี่ก็เลยเที่ยงมาแล้ว เราเริ่มหิวกัน รถตุ๊กๆพาเราแวะกินข้าวกลางวันที่ร้านอาหารแห่งหนี่ง ชื่อ Moonland Restaurant ใกล้ๆมหาวิทยาลัยในเมืองศรีนาคา ทางเดินไปร้านค่อนข้างลึกลับ เพราะอาคารหลังนี้กำลังอยู่ในระหว่างปรับปรุง ร้านอาหารนี้เป็นร้านที่โอเคทีเดียว อยู่บนชั้น 2 ของตึก เราสั่งข้าวผัดและไก่ทานโดริมากินกัน อาหารร้อนๆมาเลย เรากินกันอย่างเอร็ดอร่อย หลังกินข้าวเสร็จ รถตุ๊กๆพาเราไปเที่ยวต่อในช่วงบ่ายที่ มัสยิดขาว (Hazratbal Mosque, The Hazratbal Shrine) ระหว่างทาง เรา 2 คนเริ่มอาการไม่ค่อยดี คือเริ่มปวดท้องเหมือนกัน ซึ่งก็ไม่น่าเกิดจากไอศกรีม เพราะไอศกรีมกินแค่คนเดียว แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าอาหารมื้อกลางวันที่ร้านอาหารจะทำให้เราท้องเสีย เพราะร้านที่แย่กว่านี้ เราก็เคยกินมาแล้ว ท้องก็ยังไม่เสียเลย ดังนั้น…อย่าไว้ใจ แม้จะเป็นร้านอาหารที่ดูดีและดูปลอดภัย เพราะมันอาจจะทำให้คุณท้องเสียได้เหมือนกัน
ร้านขายของข้างมหาวิทยาลัยในศรีนาคา
อาหารมื้อนี้เป็นเหตุให้เราท้องเสีย
เรามาถึงที่ มัสยิดขาว (Hazratbal Mosque, The Hazratbal Shrine) ซึ่งสถานที่แห่งนี้ ถูกยกย่องให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมในแคชเมียร์ เป็นมัสยิดเก่าแก่ตั้งแต่ปีคริสต์ศตวรรษที่ 17 สีขาวงามสง่าสร้างจากหินอ่อนบริสุทธิ์ สุเหร่านี้ใช้เป็นสุเหร่าหลวง สร้างตั้งแต่สมัยจักรพรรดิแห่งโมกุลในยุคที่แคชเมียร์เป็นดินแดนสวรรค์ เมืองพักร้อนตากอากาศของราชนิกูล
มัสยิดขาว (Hazratbal Mosque, The Hazratbal Shrine)
สถานที่ต่อไป เราไปชม จามามัสยิด (Jama Masjid) เป็นมัสยิดที่มีรูปทรงแปลกตา ยอดมัสยิดจะแหลมๆเป็นเอกลักษณ์ พอเราเข้าไปยืนอยู่กลางลานที่ล้อมรอบด้วยมัสยิดรูปทรงแปลกตานี้ อารมณ์เหมือนอยู่ ฮอกวอตส์เลยทีเดียว (โรงเรียนเวทมนตร์ในหนังเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์) บรรยากาศภายในมัสยิดเงียบสงบ ที่นี่ตั้งอยู่ที่ Nowhatta ใจกลางเมืองเก่าในศรีนาคา เป็นมัสยิดที่สำคัญแห่งหนึ่งในเมือง สร้างโดยสุลต่านสิคานดาร์ (Sultan Sikandar) ในปี ค.ศ.1400 เป็นสถาปัตยกรรมแบบ Indo-Saracenic มีเสาไม้ 370 ต้น ด้านนอกล้อมรอบด้วยตลาดเก่า ทุกๆวันศุกร์จะมีชาวมุสลิมนับพันมารวมตัวกันเพื่อสวดภาวนา สามารถจุคนได้ถึง 30,000 คน
สำหรับสถานที่เที่ยวต่อมาคือ มัสยิดคานกาห์ของชาร์ ฮามาดาน (Khanqah of Shah-i-Hamadan Mosque) ด้านหน้าและภายในของมัสยิดตกแต่งด้วยไม้แกะสลักและเปเปอร์มาเช่ เป็นมัสยิดที่มีสถาปัยกรรมที่สวยงาม เป็นหนึ่งในมัสยิดแรกๆของแคชเมียร์ สร้างในปี ค.ศ.1395 โดยชาวเปอร์เซียนามว่า ชาร์ ฮามาดาน (Shah Hamadan) ชื่อเต็มว่า เมียร์ ซาเยด อาลี ฮามาดานี (Mir Sayed Ali Hamadani) โดยชาร์ ฮามาดานเดินทางมาจากเปอร์เซียเพื่อเผยแพร่ศาสนาอิสลามในแคชเมียร์ หลังจากอาศัยอยู่ที่แคชเมียร์หลายปี เขาเดินทางต่อไปยังเอเชียกลางผ่านทางลาดักห์ (Ladakh) ซึ่งก็มีมัสยิดที่เขาสร้างที่เมือง เชห์ (Shey)ใกล้ๆเมืองเลห์ (Leh) ด้วย สำหรับคานกาห์(Khanqah) เป็นลักษณะโครงสร้างไม้ ชายคาถูกแกะสลักอย่างสวยงาม มีระฆังแขวน ภายในถูกแกะสลักและทาสีอย่างประณีต มีโคมไฟระย้าโบราณประดับอย่างสวยงาม
มัสยิดคานกาห์ของชาร์ ฮามาดาน (Khanqah of Shah-i-Hamadan Mosque)
จบจากชมมัสยิด รถตุ๊กๆพาเราไปแวะร้านพรม (อีกแล้ว…นึกว่าวันนี้จะไม่มีการพาไปแวะร้านขายของแล้วนะเนี่ย) เราเลยต้องลงไปแวะชมแป๊ปหนึ่งพอเป็นพิธี พอขึ้นรถปั๊ป เราบอกให้คนขับบึ่งกลับโรงแรมทันที เพราะตอนนี้พวกเรา ข้าศึกประชิดสุดๆ ปวดมวนท้องไปหมด วิ่งเข้าห้องน้ำกันสุดชีวิต ซัดผงน้ำตาลเกลือแร่+ยาแก้ท้องเสียกันอุตลุด
ตอนเย็นเราเดินจากโรงแรมมาริมทะเลสาบดาล (Dal Lake) เพื่อชมบรรยากาศยามเย็น ถึงแม้อาการปวดท้องจะเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศริมทะเลสาบเย็นสบาย แต่สำหรับคนป่วยแล้วมันหนาวทีเดียว เรานั่งเล่นจนลืมเวลาไปเลย มองนาฬิกาอีกที (เฮ้ย!) นี่มันจะ 1 ทุ่มแล้วนะเนี่ย ที่นี่มืดช้า ความสว่างของท้องฟ้ามันหลอกตา เราเลยออกเดินหาร้านอาหารสำหรับมื้อเย็น เจออยู่ร้านหนึ่ง ชื่อร้าน Shah Cafeteria เดินเข้าไปในร้านบรรยากาศโอเค คนเยอะพอสมควร เราเห็นรูปโฆษณาติดไว้ที่ผนังร้านว่ามีแฮมเบอร์เกอร์ขาย น่ากินดี เราสั่งมากิน 1 ชิ้น ปรากฎว่า (เฮ้ย!) ทำไมมันกากอย่างนี้ คือ แฮมเบอร์เกอร์ที่ได้มาหน้าตาต่างกับในรูปอย่างสิ้นเชิง (เน้น! ว่าสิ้นเชิง) เป็นแฮมเบอร์เกอร์ที่ทั้งเล็ก ทั้งดำ (เอ๊ะ! ยังไง)
เรากินเสร็จ ฟ้าเริ่มมืดลงอย่างรวดเร็ว เรากลับโรงแรมรีบนอนพักผ่อนเอาแรงไว้เดินทางต่อพรุ่งนี้ ดีที่เราเตรียมยาแก้ท้องเสียและผงน้ำตาลเกลือแร่มาด้วย (คิดว่าจะไม่ได้ใช้แล้วเชียว ได้ใช้จนได้ เฮ้อ….)
ภายในร้านอาหารแห่งหนึ่งริมทะเลสาบดาล
แฮมเบอร์เกอร์ที่โฆษณาในรูปกับของจริง….ต่างกันราวฟ้ากับเหว Fail!