Journey Addict
Promote Your Page Too Follow Me on Facebook for More Adventures
ติดตามการเดินทางของเราได้ที่ : https://www.facebook.com/journeyaddict/
Day 1 (July9,2013) – Flying from US to Costa Rica
Day 2 (July10,2013) – Meeting point in San Jose
Day 3 (July11,2013) – La Fortuna / Arenal, Costa Rica
Day 4 (July12,2013) – Rafting, Pura Vida! Costa Rica
Day 5 (July13,2013) – Monteverde, Costa Rica
Day 6 (July14,2013) – The longest zipline in Latin America, Costa Rica
Day 1 (July9,2013) – Flying from US to Costa Rica
เดินทางจาก Raleigh ในอเมริกาไปต่อเครื่องที่ Miami เพื่อเดินทางไป San Jose เมืองหลวงของประเทศ Costa Rica
ใช้เวลาเดินทางจาก Miami ไป San Jose ประมาณ 3 ชม. ตอนรอขึ้นเครื่องจาก Miami มาไม่มีคนเอเชียเลย route นี้คนเอเชียเที่ยวน้อยจริงๆ
ธงชาติ Costa Rica คล้ายธงชาติไทยมาก
เพื่อนชาว Costa Rica ที่เคยเรียนภาษาอังกฤษ summer ด้วยกันเมื่อปีที่แล้ว
มารับที่สนามบิน เพื่อนน่ารักมาก พามาส่งที่โรงแรมและพาไปเที่ยวครึ่งบ่ายวันนี้
ที่แรกพาไปโบสถ์เก่าสร้างโดยชาวเยอรมัน เมืองใกล้กับ San Jose
ที่นี่บรรยากาศภูมิประเทศทำให้นึกถึง อินโดนีเซีย นอกเมือง (ที่ไม่ใช่ จาการ์ต้า)
มีภูเขาไฟโอบล้อม มีต้นไม้แบบเขตร้อน
แต่บ้านเมืองและผู้คนจะแนว latin ประมาณ เปอโตริโก้
อีกอย่างที่ทำให้นึกถึงเปอโตริโก้ คือ ร้านอาหาร food chain แบบในอเมริกาเยอะมาก
ทั้ง Walmart, Taco Bell, Mac, KFC, Burger king, Subway,
Popeyes, Papa Jones
อ้อ…เพื่อนพาเที่ยวต่อด้วยโบสถ์บาซิลเลียก้า (Basillica)
ข้างนอกเหมือนจะธรรมดา แต่ข้างในโบสถ์ สวยมว้ากกก
อาหารท้องถิ่น Pechuga Mi Tierra (ร้านชื่อ Mi Tierra อยู่ทางขึ้น Volcano Irazu)
ประกอบไปด้วยไก่โป๊ะชีส (pechuga de pollo con queso fundido), black bean,
Guacamole (มันคือ avocado ที่ปั่นจนเละ) และ salsa ที่รสชาติดีมาก
งบน้อย Hostel ไปก่อนล่ะกันนะ
สภาพ dorm bed ก็โอเคนะ (Hotel Casa Areka)
แต่ห้องน้ำกากมากกก
ต้องขอบคุณเพื่อนชาวคอสตาริก้าที่พาเที่ยววันนี้
พรุ่งนี้ต้องลุยเองแล้วนะซิ
Day 2 (July10,2013) – Meeting point in San Jose
เช้านี้เดินสำรวจรอบโรงแรมมี Burger king พร้อมเมนูท้องถิ่น
(500 colones ~ 1 USD)
มี welcome note จาก g adventures ติดไว้
เจอกัน 6 pm
โรงแรมน่ารักดี ดู list แล้ว roommate เป็นชาว British ยังไม่มา check in
มีชาวกรุ๊ปบางส่วนเข้า Check in เมื่อคืน
ส่วนใหญ่เป็น British มีชาติอื่นก็ Swiss, American, Irish, Norwegian,Dutch
The national theatre
Arroz con pollo (rice with chicken)
ประมาณน้อยหน่ายักษ์
Centro Mercado (Central market)
จริงๆแล้วไม่ได้ไปคนเดียวนะ ไปกับเพื่อนในกรุ๊ปที่เจอที่โรงแรมเมื่อเช้าพอดี
ตอนเขาลงมากินข้าว เลยไปเดินในเมืองด้วยกัน
ดีที่เจอมาเรียไม่งั้นต้องไปเดินคนเดียว
ภายในพิพิธภัณฑ์
Pre-columbian gold
วิวจาก Museo
La Carreta
หินก้อนนี้ฮิตมาก มีหลายก้อนในมิวเซียม
6pm คือเวลานัดพบกลับ tour leader ที่โรงแรม
นี่เป็นครั้งแรกที่มาทัวร์ฝรั่ง ทุกคนต้องกรอกข้อมูลในแบบฟอร์ม
จากนั้นหัวหน้าทัวร์อธิบายทริปคร่าวๆให้ฟัง
เป็นคนเอเชียคนเดียวในทริปเลย
หัวหน้าทัวร์เป็นผู้หญิงอเมริกันแต่อยู่กัวเตมาลามา 4ปีแล้ว
แต่หัวหน้าคนนี้แปลก เหมือนจะติดยาหรืออะไรบ้างอย่าง 55
หลายคนในทัวร์ก็รู้สึกเหมือนกัน ต้องรอดูพรุ่งนี้ต่อไป
หลายคนในทริปเคยใช้ g adventure มาก่อน แต่หัวหน้าทัวร์ก็ไม่เป็นแบบนี้
Day 3 (July11,2013) – La Fortuna / Arenal, Costa Rica
เดินทางจาก San Jose ไป La Fortuna ใช้เวลาประมาณ 4 ชม.
ตกลง g adventure เปลี่ยนหัวหน้าทัวร์ใหม่ เป็นคน mexican
หลังจากคนเดิมหน้าตาเหมือนเมายาตลอดเวลา
ผลไม้ nancy ประมาณ plum รสชาติแปลกๆดี
ทุกคนกำลังตัดสินใจว่าจะเลือกทำกิจกรรม Adventure อะไรดี
ที่พักเหมือนกลับไปอยู่ไทย
Arenal volcano
จากนั้นไป hot spring แช่น้ำร้อนพร้อมนั่งมองภูเขาไฟปาร์ตี้ในสระ
ประเด็นคือ ตอนเปลี่ยนเสื้อผ้า ฝรั่งถอดเสื้อกันหมด….ฮา นึกว่าออนเซน
ก่อนกลับมีลูกทัวร์สองคนได่รับบาดเจ็บจากการเล่นสไลเดอร์จนต้องพาส่งโรงพยาบาล
เป็นข้อคิดว่า มาเที่ยวทุกครั้งอย่าลืมซื้อประกัน
Day 4 (July12,2013) – Rafting, Pura Vida! Costa Rica
วันนี้คาดว่าคงไม่มีรูปมาลงมากนัก เนื่องจากล่องแก่ง
คงไม่ได้เอากล้องนี้ไป
การล่องแก่งก็ผ่านไปด้วยดี ใช้เวลาเดินทางจากที่พักไปจุดล่องแก่ง
ประมาณ 1 ชม. แวะซื้อของกิน 1 ครั้ง
ที่นี่เขาบอกว่าระดับความยาก class 3 – 4
น่าจะเป็นครั้งแรกหรือไม่ก็ครั้งที่สองที่เคยล่องแก่ง
นั่งเรือลำละ 6 คน ล่องไปตามแม่น้ำ los lagos
มี training & safety ก่อนพายจริง
เรือล่องไปครึ่งทาง แวะพักกินผลไม้
น้ำใส ไหลเย็นมาก
พอเราผ่านจุดยากๆมาได้ หัวหน้ามือพายชาว costa rica
จะให้เราตะโกนคำว่า Pura Vida!
ซึ่งแปลประมาณว่า Enjoy your life หรือ Life is good
อะไรประมาณนั้น ที่ร้านขายของที่ระลึกเกือบทุกร้าน
ต้องมีเสื้อสกรีนด้วยคำนี้
กลับมาถึงที่พักตอยประมาณบ่ายสาม
โชคดีมาก ที่ไม่เจอฝนตอนล่องแก่ง
เพราะช่วงเก็บของที่ห้อง สักพักฝนตกลงมาอย่างหนัก
ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝนเหมือนเมืองไทย
วันนี้ไม่มีรูปล่องแก่งมาอัพเดท จะขอเล่าเกี่ยวกับ Costa Rica เบื้องต้น
– เป็นหนึ่งในประเทศที่เขียวที่สุดในโลก
– Costa Rica = Rich Coast
– Poverty rate 5-8%
– ประชากร 4.64 ล้านคน (2010)
– Literacy rate 95%
– เกษตรกรรมที่ส่งออกมากที่สุด คือ กาแฟ, กล้วย, สัปปะรด
(แต่กล้วยก็ถูกจริงเมื่อเทียบกับเมกา ราคาพอๆกับไทย
แต่ของอย่างอื่นแพงเวอร์ แพงกว่าที่เมกาด้วยซ้ำ เพราะนำเข้าทั้งประเทศ)
ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจว่า 80% ของฝรั่งในทริปนี้เคยไปเที่ยวเมืองไทย
เมืองไทยถูกและดีสำหรับชาวต่างชาติจริงๆ
แต่สำหรับคนไทย อะไรๆก็แพงไปหมด
อยู่เมืองไทยก็แพง เที่ยวเมืองนอกก็แพงT T
สรุปไม่ได้เที่ยวในท้ายที่สุด
ถ้าเมืองไทยค่าเงินแพงๆอย่างญี่ปุ่น ยุโรป
คนไทยคงได้เที่ยวรอบโลกกันมากขึ้น
ตอนเย็นไปกินข้าวในตัวเมือง
อย่างที่รู้กัน ฝรั่งกินเบียร์แทนน้ำ ทริปนี้ก็ประมาณนั้น
เที่ยวมาสามวัน เมากันสามวันเลย
เพราะว่า drink ที่นี่ถูกกว่ายุโรปด้วย เลยซัดกันใหญ่เลย
(บางคนบอกว่า เขาไปเมืองไทยหลายรอบมาก
เพราะอาหารอร่อย ถูกและดี , ไม่อยากจะเล่าเลย
ว่าจริงๆสำหรับคนไทย มันก็แพงนะนั่น)
Day 5 (July13,2013) – Monteverde, Costa Rica
เช้านี้รูมเมทปลุก เพราะเล่นกลับมา 6.15am เช้าเลย แต่เหมือนคนอื่นๆยังไม่กลับห้องกัน
ยังกินต่อกันที่ lobby เลยรู้สึกดีมากที่ตัดสินใจไม่ไป night club เมื่อคืน
ไม่งั้นสภาพคงย่ำแย่ แต่ฝรั่งส่วนใหญ่ที่เห็นกินกันเก่งมาก และบางคนไม่มีอาการแฮง
ในวันต่อมาด้วย ไม่รู้ร่างกายระเหยแอลกอฮอล์ออกกันยังไง
ที่เห็นคือ ค่า drink ต่อวันของแต่ละคนที่กินเหล้า ไม่ต่ำกว่า 20$
มะพร้าวช่างไม่มีรสชาติอะไรเลย นึกว่ากินน้ำเปล่า
หรือว่ามันเป็นมะพร้าวทำกะทิ? งง
รถมารับ 8.30am เดินทางไปท่าเรือใช้เวลาประมาณ 30 นาที
ต่อด้วยนั่งเรืออีกประมาณ 45นาที
นักท่องเที่ยวพอสมควร ส่วนใหญ่มาเป็นกรุ๊ปทัวร์
หลังจากดูแล้ว แถบนี้มาเองลำบากเหมือนกัน
แต่ก็สามารถมาได้ ถ้ามากันหลายๆคน
จะได้มีคนแชร์และดูปลอดภัยกว่า
แต่ที่นี่ก็ดูปลอดภัยกว่าอินเดียเยอะ
พอขึ้นฝั่งเราก็นั่งรถต่ออีก 2 ชม.กว่าขึ้นเขาเพื่อไปเมือง Monteverde
แปลเป็นไทยก็เขาเขียวนี่เอง (Monte = Mountain, Verde = Green)
สภาพถนนไม่ดีนักเลยต้องใช้เวลานาน
ที่นี่มีกิจกรรมให้เลือก Adventure หลายอย่าง
เลยเลือกไป Night walk ตอน 5.30pm
และ Ziplining พรุ่งนี้เช้า
บางคนที่มีความกล้าเหลือก็เลือกไป Bungi jump บ่ายนี้
แต่น่ากลัวเกิน ขอบายดีกว่า
ความยากอีกอย่างขอทริปนี้คือภาษาอังกฤษ
รู้สึกเดี้ยงทางด้านภาษามาก ยิ่งเจอสำเนียงอังกฤษ
ด้านเกาะทางเหนือฝั่งไอร์แลนด์
ต้องเงี่ยหูฟัง มันฟังยากมากกก เหมือนอะไรขึ้นจมูก
ยิ่งตอนฝรั่งพูดกันเร็ว
อืมหือ
ฟังไม่ทันสักกะคำ
ที่พักวันนี้ที่ Monteverde อยู่ที่นี่ 2 คืน
ช่วงบ่ายเดินในเมือง เป็นเมืองเล็กๆ ซื้อของในซุปเปอร์มาร์เกต
อย่างที่ได้กล่าวไป ราคาของที่นี่ค่อนข้างแพง
บางอย่างแพงกว่าที่เมกา เช่น ปลากระป๋องราคาประมาณ 3$ กว่าๆ
ทั้งที่ในเมการาคาประมาณ 1$กว่าๆ เลยลองถามไกด์ว่า
แล้วเงินเดือนคนที่นี่หลังจบป.ตรี ได้เท่าไรกัน เขาก็บอกว่าประมาณ 400-600$
ซึ่งรายได้พอๆกับไทยเลย แต่ของใน supermarket แพงกว่ามาก
ประเด็นคือที่เมกา ยุโรป ช่องว่างระหว่างรายได้กับของกินมันเยอะมาก
ที่เมการายได้จบป.ตรีก็ประมาณ 3,000$/เดือน แล้ว
บางคนอาจจะบอกว่า เขาเสียภาษีเยอะ อ่ะ งั้นคิดภาษี 25%เลย
เหลือ 2,250$ ก็เยอะกว่า 400$ ไหมนั่น
ตอนเย็น night walk ได้เจอสัตว์ต่างๆเยอะเลย
ตัวหลักๆก็ sloth ในระยะประชิด ตัวใหญ่เหมือนกัน
กำลังห้อยโหนกินใบไม้ มันเป็นสัตว์ท้องถิ่น
มีเฉพาะที่ central หรือ south america เท่านั้น
(ถ้ายังนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร มันคือ ซิด Sid the sloth
ในการ์ตูน Ice Age)
ระหว่างเดินก็จะเจอ กบ, ผีเสื้อ, นก, แมงมุม tarantula เป็นต้น
Day 6 (July14,2013) – The longest zipline in Latin America, Costa Rica
Breakfast….avocado,banana,milk
เช้านี้เริ่มต้นกันด้วย zipline ข้ามเขา ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองสำหรับ zipline
นักท่องเที่ยวต่างชาติล้วน ไกด์บอกว่า 70%ของรายได้ประเทศนี้ มาจากการท่องเที่ยว
และที่นี่เป็นประเทศที่ไม่มีทหาร คือไม่สนับสนุนงบประมาณทางการทหารเลย
แล้วเขาใช้งบนั่นในด้านการศึกษาแทน ทำให้ประเทศนี้มีอัตรา
Literacy rate ถึง 95% (ข้อมูลจาก wiki, ไทย 92.6%)
ที่นี่เป็น zipline ที่ยาวที่สุดในละตินอเมริกา 1,590m.
มี Tarzan swing ด้วย แต่ไม่ได้ทำ เพราะน่ากลัวเกิน
ประมาณน้องๆ Bungee jump กระโดดลงหน้าผา พร้อมแกว่งไปมาแบบทาร์ซาน
อ่านเพิ่มเติม:
[CR] ซิปไลน์ที่ยาวที่สุดในละตินอเมริกา (The Longest Zipline in Latin America) [Costa Rica]
ตอนบ่ายไม่มีกิจกรรมอะไร ฝรั่งก็มานั่งอาบแดดกันซะงั้น
แล้วฝนก็ตก ฝนตกทุกวันตอนเย็น
พอ 8.15pm ได้เวลารวมตัวไป drink กันที่ pub ในเมือง
Pub ใหญ่ แต่คนใน pub น้อยมาก